Moët & Chandon
ยังอยู่ที่แคว้น Champagne หรือ แชมเปญ หรือที่คนฝรั่งเศสเรียก ช็องปาญ นะคะหลังจากบล็อกเอนทรีก่อนชิมแชมเปญจากแชมเปญเฮาส์ระดับท้องถิ่นไปแล้ว วันนี้ขอยกระดับมาชิมแชมเปญเฮาส์ดังระดับโลกอย่าง Moët & Chandon หรือ โมเอต์ชงดง กันบ้างนะคะ ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่าสมาชิกในทริปไม่มีผู้ใดเป็นนักดื่มหรือมีความรู้เรื่องแชมเปญเลย(ย หลายๆตัว) แต่การที่เราไปเพราะอยากไปเรียนรู้ อยากไปสัมผัส หรือไป“experience” นั่นเอง ก็แหม ไปอยู่ตรงนั้นแล้วจะพลาดได้ยังไงเนอะ 😉 แต่การชิมแชมเปญครั้งนี้ต่างจากรอบที่แล้วที่ชิมอย่างเดียว รอบนี้ได้มีโอกาสได้เข้าไปชมห้องบ่มและได้รู้ขั้นตอนการผลิตแชมเปญด้วย บอกเลยว่าเป็นการเปิดโลกได้ความรู้เพิ่มเติมมากมาย ตามหนึ่งมารู้กันค่ะ ไม่ดื่มก็ตามมาได้นะคะ รับรองไม่เมา อิอิ แต่กก่อนอื่นมารู้จัก Moët & Chandon กันก่อนนะคะ โมเอต์ เอต์ ชงดง เป็นบริษัทผลิตแชมเปญชั้นนำและหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตแชมเปญรายใหญ่ของโลก เค้ามีแชมเปญรุ่นดัๆหลายรุ่น บางคนอาจจะจะเคยได้ชิมมาแล้วในโอกาสพิเศษต่างๆ (แต่ไม่ได้สังเกต) บริษัทนี้เป็นผู้ส่งแชมเปญให้ Queen Elizabeth IIอย่างเป็นทางการ ยังไม่นับว่าเค้าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton SE บริษัทยักษ์ใหญ่ที่จำหน่าายสินค้าหรูหราหลายอย่าง หลายแบรนด์เราติดหูกันเลยเช่น เอ๊ะ นอกเรื่องมาทำไม เอ๊ะเราตั้งใจจะมาชิมแชมเปญกันไม่ใช่เหรอ? ฮ่าๆ
กลับมาเรื่องการชิมแชมเปญ โมเอต์ เอต์ ชงดง อยู่ที่เมือง Epernay อยู่บนถนนแชมเปญ (ที่ว่ากันว่าเป็นถนนที่มีมูลค่าแพงที่สุดในโลก) เราซื้อจองทัวร์ล่วงหน้าที่หน้าเวบของบริษัทเลย ใครอยากตามรอยกดลิงค์เลย https://www.moet.com/prehome เค้าจะให้ใส่ชื่อประเทศและปีเกิดก่อนไม่ต้องตกใจค่ะ ใส่ไปเลย –> Visit us —> Guide tour เค้าจะมีทัวร์แบบต่างๆให้เลือก 3-4 แบบ ราคาก็ต่างกันไป
แนะนำให้จองล่วงหน้านะคะ ตอนจองยังไม่ต้องจ่ายเงิน ไปจ่ายหน้างาน <เจ้านี้เปิดให้บริการวันอาทิตย์ ซึ่งดีมากเพราะวันอาทิตย์ส่วนใหญ่ร้านรวงทางยุโรปจะปิดกัน นี่น่าจะเป็นตัวบอกว่าดังและความนิยมของเค้า
เรามาถึงแต่เช้าเพราะจองเวลาที่เช้าที่สุดคือ 9:45 น มีอีเมลกลับมาให้เราไปถึงก่อนเวลาประมาณ 30 นาทีอย่างน้อย (นัดเวลาแล้วต้องตรงเวลานะคะ) ไปถึงตอนแรกคือหนึ่งอึ้ง มันผิดจากที่คาดไว้ คือรู้ว่าใหญ่จริง แต่จินตนาการไว้แบบนึง ไปเห็นของจริง ใหญ่มากมีที่จอดรถให้บริการด้วย
ถนนแชมเปญ ที่ว่ากันว่าเป็นถนนที่มีมูลค่าแพงที่สุดในโลกเพราะมีบริษัทผลิตแชมเปญรายใหญ่ๆของฝรั่งเศสเรียงรายตามถนนนี้ ตอนแรกหนึ่งจินตนาการว่าจะเป็นร้านแบบมีหน้าร้านแล้วเห็นขวดแชมเปญวางโชว์ให้เราเดิน window shopping ได้ ไปเห็นของจริงแล้วอึ้ง ถนนเป็นถนนเส้นเล็กแต่แชมเปญเฮาส์ที่อยู่ตลอดสองข้างถนนนี่มีแต่เจ้าบิ๊กๆ แบบตึกเป็นคฤหาสน์หรือวังที่เราเห็นแต่รั้วเท่านั้น วันที่เราไปเป็นวันอาทิตย์ด้วยทุกเจ้าปิดประตูรั้วหมดยกเว้นโมเอต์
เราไปตั้งแต่ยังไม่เปิด รีบมาถ่ายรูปกับรูปปั้นด้านหน้าของบริษัท เป็นรูปปั้นของท่าน Dom Perignon ซึ่งเป็นนักบวชที่มีบทบาทสำคัญในผู้พัฒนาคุณภาพของไวน์และแชมเปญ (แต่มักเข้าใจผิดว่าท่านเป็นผู้ผลิตคิดค้นแชมเปญ) โมเอต์ เอต์ ชงดง ได้นำชื่อนักบวชท่านนี้มาตั้งชื่อแชมเปญรุ่นพรีเมียมที่นำน้ำคั้นองุ่นน้ำแรก (หรือที่เรียกว่า cuvée) มาผลิต พรีเมี่ยมขนาดนี้แน่นอนว่าราคาก็ซุปเปอร์พรีเมียมตามไปด้วย แน่นอนค่ะ
มาถึงที่แล้วไม่ได้ซื้อแชมเปญรุ่นนี้แต่ขอถ่ายรูปคู่กับท่านนักบวชก็ยังดีนะคะ 😉
ถ่ายรูปเล่นซักพักร้านก็เปิดให้บริการ เรารีบเข้าไปโชว์ตัวนิดนึงว่ามาถึงแล้ว เดินเข้าไปข้างในมาบรรยากาศดีมาก ราวกับเดินเข้าในวัง มีห้องนั่งรอและจุดจ่ายเงินค่าทัวร์ชัดเจน
ไปถึงเคาน์เตอร์เค้าจะคอนเฟิร์มทัวร์ที่เราจองไป จริงๆเราจอง imperial แต่พอไปถึงเจ้าหน้าที่ก็พยายามโน้มน้าวว่าไม่สนใจอยากเปลี่ยนเป็น vintage หรอ เพิ่มแค่ 7 ยูโรเองนะ เราก็ตอบกลับราวกับหมือนโดนสะกดจิตว่า ok ทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทัวร์ทั้งคู่คืออะไรและต่างกันยังไง 555 คิดง่ายๆว่า ของแพงกว่าก็(น่าจะ)ดีกว่า…มั้ง 😉
จ่ายค่าทัวร์เสร็จได้ใบแบบรูปมา ใบสีเหลืองเราต้องเก็บไว้ยื่นตอนชิมแชมเปญ กรุ้ปเราเริ่มทัวร์กันเลย มีสมาชิกทั้งหมด 10 ถือว่าเป็นกรุ้ปไม่ใหญ่มาก การจัดการทัวร์เค้าถือว่าดีมากและเป็นระบบ มีไกด์พาเดินชมและอธิบายให้ฟัง มีการเล่าเท้าความ ให้ชมวีดีทัศน์ก่อนลงไปชมห้องบ่มไวน์ & แชมเปญด้วย แต่หนึ่งรู้สึกว่าแม่ไกด์สาวของเราเธอแอบดุนิดนึงและพูดภาษาอังกฤษสำเนียงฝรั่งเศสที่หนึ่งฟังไม่ออกเป็นส่วนใหญ่ ที่หนึ่งเล่าได้เป็นตุเป็นตะ ไม่ใช่เพราะฟังไกด์รู้เรื่องนะคะ หนึ่งไปอ่านเพิ่มเต็มมา อิอิ
หลังจากอารัมภบทกันไปสั้นๆแล้ว ได้เวลาไปชมห้องบ่มแชมเปญกันค่ะ อยู่ชั้นใต้ดินของตัวตึกนั่นเอง พร้อมแล้วไปกันเลยค่า ^_^
พอได้ลงไปชมห้องบ่มเค้าหรือที่เค้าเรียกว่า cave เราตื่นเต้นกันมาก มันใหญ่มากกกกก กินพื้นที่กว่า 3.5 กิโลเมตรมีแชมเปญอยู่เยอะมาก (ถ้าตีค่าเป็นเงินคงหลายตังค์เลย)ลักษณะของมันเหมือนเป็นถ้ำจริงๆค่ะ และจะมีกลิ่นและบรรยากาศที่เฉพาะมาก
การผลิตแชมเปญมีวิธีการที่ซับซ้อนและใช้เวลานานเพราะใช้การหมักถึงสองครั้ง เพื่อให้เกิดแกสคาร์บอนไดออกไซค์ขึ้นตามธรรมชาติ แชมเปญใช้องุ่น 3 พันธุ์ในการผลิต คือ Chardonnay ซึ่งเป็นองุ่นขาว และ Pinot noir & Pinot Meunier ซึ่งเป็นองุ่นแดง (เอ๊ะๆ ทำไมใช่องุ่นแดงทำแชมเปญที่น้ำสีเหลืองอ่อน เดี๋ยวมีคำตอบให้ค่ะ) ซึ่งเค้าจะผสมน้ำองุ่นจากสามพันธุ์นี้ในอัตรส่วนที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับจะปรุงให้ได้รสไหน ในการหมักครั้งแรกจะเหมือนการทำไวน์ทั่วไป แต่ต่างกันตรงที่องุ่นจะถูกคั้นเอาน้ำอย่างช้าๆ (อาจนานถึง 4 ชม) เพื่อลดการปนเปื้อนของสารแทนนินและสีของเปลือกองุ่นให้มากที่สุด (สารแทนนินจะให้รสฝาด) แล้วนำเอาเฉพาะน้ำไปหมัก น้ำองุ่นที่ได้จากการคั้นครั้งแรกเรียกว่า cuvée จะถูกนำไปทำแชมเปญชั้นพรีเมียม (เช่น รุ่น Dom Perignon) แต่เค้าไม่ได้คั้นหลายรอบมาก เพราะครั้งหลัง น้ำจะน้อยลงและปริมาณแทนนินจะมากขึ้นด้วย หนึ่งไม่ได้ถามเค้าว่าเค้าคั้นกี่รอบ น้ำองุ่นจะถูกหมักโดยขั้นตอนนี้ยีสต์ที่มีในธรรมชาติ(หรืออาจจะเติมลงไป) จะเปลี่ยนน้ำตาลในน้ำองุ่นให้เป็นแอลกอฮอล์โดยได้คาร์บอนไดออกไซค์เป็นของแถมซึ่งสุดท้ายมันจะหมดไปคืนให้ชั้นอากาศไป จากนั้นไวน์ที่ได้อาจจะถูกนำไปหมักต่อในถังไม้โอ้คเพื่อให้มีกลิ่นที่หอมและรสที่นุ่มขึ้น และเกิดการหมักต่อไปซึ่งกินเวลานานต่างกันไปตั้งแต่เดือนถึงหลายๆปี พอได้ที่จึงจะบรรจุขวดซึ่งต้องเป็นขวดที่สามรถทนแรงดันได้สูง เพื่อไปหมักครั้งที่สองต่อไป
การหมักครั้งที่สองเกิดขึ้นในขวด คือเมื่อการบ่มครั้งแรกได้น้ำ น้ำไวน์จะถูกบรรจุขวดที่ทนแรงดันสูงแล้วจะมีการเติมยีสต์เข้าไปในขวดแล้วปิดฝา การหมักครั้งนี้เองที่ทำใช้เกิดฟองในแชมเปญขึ้น โดยยีสต์ที่เติมเข้าไปจะทำปฏิกริยากับน้ำตาลในน้ำไวน์ที่มีอยู่ทำให้เกิดแอลกอฮอล์และแกสคาร์บอนไดออกไซค์ขึ้น คราวนี้แกสเธอไม่มีทางออกเลยถูกเก็บไว้ในขวดต่อไป (เป็นเหตุผลว่าทำไมต้องใช้ขวดที่ทนแรงดันสูง) การหมักครั้งนี้ใช้เวลานานแตกต่างกันไป และยีสต์ที่เติมลงไปก็จะตายตามอายุไข เมื่อยีสต์ตายจะเป็นตะกอนแบบในรูป
ตะกอนเหล่านี้จะถูกกำจัดออกค่ะ โดยการเอียงขวดบนชั้นวางให้ขวดตะแคงอยู่ระดับ 45 องศา กุ้นสูงกว่าปากขวดแบบในรูป ขวดแชมเปญเหล่านี้จะถูกหมุนขวดและยกก้นขวดให้สูงขึ้นทีละน้อยอย่างช้าๆ จนในที่สุดตะกอนจะไหลไปรวมกันที่ปากขวด ใช้เวลาหลายวันเลยค่ะ จากนั้นจะเอาปากขวดจุ่มในสารที่ทำให้อุณหภูมิลดถึงจุดเยือกแข็ง ตะกอนจะจับเป็นก้อนติดกับฝาจีบ เปิดฝาจีบเอาตะกอนออก ขั้นตอนนี้น้ำแชมเปญจะพร่องจากขวดไปนิดหน่อย ผู้ผลิตต้องเติมไวน์ลงไปและอาจจะเติมน้ำตาลลงไปปริมาณแตกต่างกันไป ขั้นตอนนี้จะทำให้แชมเปญมีรสหวานต่างกัน
กว่าจะมาเป็นแชมเปญซักขวด ใช้เวลานานมากกจริงๆ เนอะ
รู้จักวิธีการทำไปแล้วได้เวลาชิมแชมเปญกันแล้วค่ะ ห้องชิมเค้าถูกจัดไว้ใกล้ทางออก ใครซื้อทัวร์แบบไหนมาจะได้ชิมแชมเปญรุ่นนั้น
สามขวดนี้เป็นรุ่นอิมพีเรียลที่เราจองไว้ตอนแรก แต่มาเปลี่ยนใจหน้างานกลางคัน
เราได้ชิมรุ่นนี้ค่ะ vintage champagne หรือแชมเปญปีทอง ผลิตจากองุ่นที่เกี่ยวเกี่ยวในปีเดียวกันทั้งหมด ซึ่งต้องเป็นปีที่องุ่นคุณภาพดีมากๆ ปกติแชมเปญจะไม่ระบุปีเพราะได้จากการปรุงน้ำไวน์จากองุ่นหลายปีผสมกัน แต่ถ้าเป็น vintage จะระบุปีว่าเป็นองุ่นปีไหน ราคาเธอจึงแพงขึ้นมา เราชิมปี 2008 ชิมสองแบบคือ rose หรือโรเซ่และแชมเปญแบบปกติ
พนักงานสาวสวยยิ้มหวานเปิดขวดให้ชิม การชิมของเค้าไม่ได้เทให้ชิมแบบกรุบกริบเหมือนที่ชิมในบล็อกเอนทรีก่อนนะคะ เธอเทให้แบบจัดเต็มเลยทีเดียว สังเกตฟองแชมเปญเค้าฟู่ดีเหลือเกิน
สังเกตว่าฟองเค้าอยู่แน่นอยู่นานกว่าเจ้าโลคอลที่เราไปชิมกันมา คือนานจริงๆนะคะ หนึ่งนั่งดูอยู่นาน ปรายฟองผุดขึ้นมาเรื่อยๆไม่เบาลงเลย นี่เป็นอีกหนึ่งในคุณสมบัติที่ดีของแชมเปญเลยล่ะ
ชิมสิคะ รออะไร ทำประหนึ่งว่าเรารู้เรื่องดีมาก มาดต้องดีไว้ก่อน อิอิ แก้วที่หนึ่งถือในรูปคือโรเซ่แชมเปญ(rose champagne) เป็นแชมเปญที่ชมพู ทำไมถึงสีนี้ ย้อนกลับไปขั้นตอนแรกที่ช่วงคั้นน้ำองุ่น ผู้ผลิตปล่อยให้น้ำองุ่นแช่อยู่กับเปลือกองุ่นในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ได้สีเข้มขึ้นแต่ไม่มากเท่าไวน์แดง rose champagne อาจจะผสมน้ำผลไม้ลงไปด้วยเช่นน้ำสตรอเบอร์รี แล้วแต่จะปรุงแบบไหนซึ่งจะทำให้รสของแชมเปญต่างออกไป
รสแชมเปญเค้าแน่นมากค่ะ พรายฟองก็แน่นซ่าแบบไม่ตกเลย เราเป็นกรุ้ปที่ดื่มช้าที่สุดเพราะรสเค้าแน่นจริงแถมเราไม่ใช่นักดื่มด้วย หนึ่งจิบไปครึ่งแก้ว มึนค่ะ ต้องยกที่เหลือให้ฟูฟีไม่งั้นขับรถไม่ไหวแน่นอน ซึ่งฟูฟีรับไปด้วยความยินดี(มาก) พอดื่มกันหมดเราทั้ง 4 คนถึงกับมึนเลยล่ะ แม้จะชิมแค่สองแก้วแต่ชิมในเวลาที่เร็วมาก
ชิมแชมเปญเสร็จถือว่ายังไม่จบทัวร์ซะทีเดียว ไกด์ต้องมาส่งเราที่จุดขายของที่ระลึกซึ่งมีแชมเปญที่เป็นผลิตภัณฑ์ของเค้าจำหน่ายและมีของที่ระลึกหลายอย่างตั้งแต่เสื้อ กระเป๋า แก้วแชมเปญ เข็มกลัด บลาๆ สินค้าเค้าดูดีมากๆ
รุ่นขายดีตลอดกาลของเค้า อิมพีเรียล มีหลายขนาดให้เลือก เรากังขามากเพราะไม่ได้ชิมและอยากชิม แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ซื้อ ราคาขายที่นี่ประมาณ 4x ยูโรปลายๆ มาเช็คราคาที่บ้านเราเกลือบสี่พันบาท เสียใจหนักมากที่ไม่ได้ซื้อ T_T
Dom Perignon แชมเปญรุ่นพรีเมียมที่นำน้ำคั้นองุ่นน้ำแรก (หรือที่เรียกว่า cuvée) มาผลิต ราคาก็ซุปเปอร์พรีเมียมตามไปด้วย ยิ่งเป็นรุ่นวินเทจยิ่งแพงหนักเข้าไปอีก ราคาหลักหมื่นยูโรเลยทีเดียว
ของที่ระลึกมีมากมาย หนึ่งถ่ายรูปมาไม่หมด แค่ดูราคาแชมเปญก็มึนแล้วค่ะ จริงๆแล้วราคาแชมเปญถ้าซื้อจากที่นี่ราคาถูกกว่าซื้อนอกฝรั่งเศสแน่นอน หนึ่งเห็นคนที่มาซื้อกันคนละ 2-3 ขวดแต่เราไม่ได้ซื้อเลยเพราะวันแรกจัดกันไปคนละหลายขวดแล้ว เสียดายเหมือนกันค่ะ
จบประสบการณ์ทัวร์สั้นๆแต่เราประทับใจ ทำให้เรารู้จักแชมเปญมากขึ้น ใช้เวลาทั้งหมดเกือบสามชั่วโมงรวมเวลาช้อปปิ้งของที่ระลึกด้วยนะคะ เราชิลๆกันไม่รีบเพราะอยากให้สร่างด้วย แชมเปญนี่กินเร็วๆเมาง่ายกว่าไวน์ธรรมดาอีกนะคะ 😉
บล็อกเอนทรีหน้าหนึ่งจะพาเดินเที่ยวในเมือง Epernay แล้วไปต่อเมือง Troyes อีกเมืองที่หนึ่งชอบค่ะ
***สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้นำรูปภาพหรือข้อความใดๆไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต หากคุณคิดว่าเนื้อหามีประโยชน์กรุณากดปุ่ม ” share” ท้ายบล็อกหรือ redirect link มาที่เพจนี้***
- November 15, 2016
- 2 Comments
- 2
- Champagne, France
FUFY
November 16, 2016I really looooove this trip! Gosh!!!!
adrenalinerush
November 18, 2016me toooooo!