Lofoten II
เราพักที่รอยต่อระหว่าง Hamnoy กับ Reine วันที่สองอากาศไม่ต่างจากวันแรกเลยคือขมุกขมัว เมฆลอยเต็มฟ้าและแน่นอนพอไม่มีแสงอาทิตย์อากาศก็เย็นนนราวกับเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี วันนี้จะเป็น Hiking day ขึ้นเขา Reinebringen ตอนเช้าแต่พออากาศไม่ดีเลื่อนไปช่วงบ่ายแทนละกัน ช่วงนี้ไปซ้อมปีนเขาอีกลูกแทนเบาๆ สรุปว่าวันนี้เราจะปีนเขากันสองลูกนะจ้ะ….จัดไป เราไม่ได้มาที่นี่กันบ่อยๆ
เขาลูกแรกที่เราจะไปปีนอยู่ที่เมือง Ballstad ต้องขับรถจากที่พักไปประมาณ 1 ชั่วโมง ไปถึงเมืองแบบงงๆ เมืองเล็กก็จริงแต่ไม่รู้ว่าเขาที่ว่ามันอยู่ตรงไหน ต้องไปแวะซุปเปอร์มาเก็ตถามทางและช้อปปิ้งไปในตัว ในที่สุดเราก็เจอทางขึ้นเขาค่ะ (ถามทางมาเรื่อยๆ) ภูเขาลูกนี้คือ Ballstadheia ความสูงไม่มาก เดินไม่ยากเพราะเดินอ้อมตามไหล่เขาไป แต่ก็เหนื่อยเหมือนกันค่ะ อากาศเย็นๆนี่ต้องถอดทีละชิ้นเลยทีเดียว
เมืองที่เห็นข้างล่างคือ Ballstad เป็นหมู่บ้านชาวประมงที่อายุกว่าหนึ่งพันปีแล้ว
ขึ้นมาจนถึงจุดชมวิวแล้ว จริงๆสามารถเดินขึ้นไปได้อีกแต่หมอกเมฆเยอะมาก (ไหนว่าแดดจะออกไง เที่ยงแล้วนะ T_T)
ลงกันดีกว่า ใช้เวลาขึ้นและลงเขาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งถือว่าไม่เหนื่อยมากนะึะ ซ้อมๆก่อนไปเจอของจริง 😉 กลับไปขึ้นเขาอีกลูกที่ Reine ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ฟ้าเหมือนกำลังจะเปิด วี้ดวิ้ววว ลุงๆลงไปกันแล้ว แต่ป้ายังอยู่ข้างบน ฮ่าๆ
ขับรถกลับไป Reine ใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมง ฟ้าค่อยเริ่มเปิดจริงแต่ไม่ใช่ตอนเที่ยงค่ะ มันคือบ่ายสาม! เอาเถอะแค่นี้ก็ดีใจมากมายแล้ว
กลับมาที่ Reine ค่ะในที่สุดฟ้าก็เปิด เมฆค่อยๆลดลงไปเรื่อย กรี้ดดดด ดีใจมากกกกที่สุด ได้เวลาไปปีน Reinebringen กัน!
Reinebringen เป็นภูเขาในเขตเมือง Reine (เรนเน) เป็นภูเขาสูง 448 เมตรจากระดับน้ำทะเลที่เป็นจุดสุดฮิตที่นักท่องเที่ยวมาปีนกันเพราะอยู่ใกล้ เดินทางสะดวกและวิวที่สวยมากกกกก
ทางขึ้นเขาไม่ง่ายนะคะ คุณฝรั่งที่เคยมาปีนแล้วลงบล็อกไว้กล่าวว่า ความยากอยู่ปานกลางถึงยาก ส่วนรูปหล่อที่ information center บอกว่ามันเป็นทางที่อันตราย โปรดระวังและดูแลตัวเองด้วย คุณต้องมีรองเท้าที่ดีนะถึงจะขึ้นไปได้ อย่างไรก็แล้วแต่ เราเตรียมใจมาเพื่อสิ่งนี้อยู่แล้ว ไปปีนเขากันเลยค่ะ
แต่….
ก่อนถึงจุดปีนเขาแวะชมวิวนิดนึงนะ จุดชมวิวเมือง Reine (อยู่ห่างจากที่พักเราไม่ถึง 10 นาทีขับรถ) และอยู่ติดถนนหลักเลยค่ะ ถัดจากป้ายชื่อเมืองนิดเดียวจอดรถตรงลานจอดรถ(ที่รถเยอะๆ เพราะใครๆก็มาที่นี่) แล้วจะได้วิวนี้
สวยงามมากมาย ภาพไม่สามารถบรรยายได้ครบ หนึ่งลื้มปริ่มน้ำตาไหลพราก(ขอดราม่าแพร่บ)…คือมาที่นี่เพื่อสิ่งนี้ค่ะ ภาพวิวนี้เลย มันเหมือนฝันเป็นจริงไปครึ่งนึง อีกครึ่งนึงคือต้องไปปีนเขาก่อน
เขาลูกนี้เลยที่เราจะปีนกัน อยู่ใกล้ๆจุดชมวิวเมืองเรนเนนี่แหละ แนะนำให้จอดรถตรงจุดชมวิวแล้วเดินไปนะคะ
จากจุดจอรถเดินมาทางอุโมงค่ะ ระยะไม่ไกล ( ภาพถ่ายตอนลงจากเขาแล้วนะคะ ) สามารถเข้าทางปลายเปิดอุโมงค์อีกด้านนะคะ จะมีถนนเบี่ยงเข้ามาคล้ายๆกัน
เดินเข้ามาถนนข้างอุโมงค์จะเห็นลูกศรสีขาวแบบนี้ เดินตามไปเลย
เลี้ยวตามลูกศรเข้าไปเลยค่ะ รวมระยะทางประมาณ 300 เมตรได้
ป้ายเตือนก่อนขึ้น
ถึงจุดนี้ลุยยยย! เราใช้เวลาในการปีนทั้งหมด 1 ชั่วโมงครึ่งที่ยาวนานเพราะอยากให้ถึงแต่ไม่ถึงเสียที ช่วงแรกๆทางยังยังไม่ชันมาก ทางเป็นโคลนแต่พอเดินได้ไม่ถึงกับเละมากและมีต้นไม้ให้เกาะๆ พอหลุดช่วงต้นไปร้อนมากกกกเพราะมีแต่หญ้าเตี้ยๆ ไม่สามารถบังแดดได้และเริ่มมีหินสไลด์ เราค่อยๆกระดืบๆขึ้นไประหว่างขึ้นก็มีนักท่องเที่ยวที่ลงมาคอยให้กำลังใจ เราขึ้นเขากันตอน 6 โมงเย็นตอนนั้นฟ้าเปิดสนิท แดดอย่างกับ 10 โมงบ้านเรา – -” ส่องหน้าเต็มๆเลยค่ะที่สำคัญคือมันชันและไม่มีจุดให้พักเลย ต้องยืนพักเองเท่านั้น
แต่รางวัลมีให้สำหรับคนไม่ท้อถอยค่ะ ^_^ ในที่สุดเราก็มาถึงจุดชมวิวจุดแรก คือว่ามันสวยมากกกกก
อยากเป็นคนยืนตรงจุดนั้นเองแต่กลัวความสูง เลยส่งเพื่อนไปแทน อิอิ แค่ยืนกดชัทเตอร์อยู่ในเข้ามายังใจสั่น บอกเลย
ขึ้นมาสูงอีกนิดนะ จุดนู้นที่เห็นเสื้อส้มๆก็เป็นอีกจุดชมวิว แต่เห็นทางขึ้นแล้ว จขกท ไม่รอดค่ะ คือมันชันและสูงมาก ป้าใจหวิว จิเป็นลม
สวยทุกมุม ไม่เสียแรงที่ตากแดดหน้าดำขึ้นมา
เบื้องหลังรูปสวยมักมีเรื่องเล่านะคะ 😉
สุดท้ายสำหรับวิวบนนี้กับนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสน่ารักทั้งคู่เลยค่ะ (หน้าตาก็ดี อิอิ) ผู้หญิงเธอบอกว่า “Once in the life time” เห็นด้วยทุกประการ!
มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญอีกช่วง “ลงเขา” คือปกติการลงเขาง่ายกว่าขึ้นใช่ไหมคะ แต่ไม่ใช่กับทุกกรณี ขาลงเราใช้เวล 1 ชั่วโมงครึ่งเท่ากับขาขึ้นพอดิบพอดี แถมรู้สึกปวดเข่ามาก หรือเข่าเราเสื่อมไปแล้วนะ
กว่าจะลงจากเขา สามทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาเก็ตปิดหมด เราต้องกลับที่พักไปต้มมาม่ากินอีกมื้อ แต่เราฟินกับวิวมากกกกจนกินอะไรก็อร่อยแล้วล่ะค่ะ ^_^ <3
เป็นวันที่สุขใจที่สุดอีกหนึ่งวันของทริปนี้ค่ะ แม้ว่าจะกลับมาต้มมาม่ากินที่ที่พัก ไม่ได้พักหรูและเจ็บเข่าจากการปีนเขามากแต่รู้สึกคุ้มค่าที่สุดค่า
ตอนต่อไปติดตามวันสุดท้ายที่ Lofoten ของเรา เราพักที่ไหน และคำแนะนำเล็กๆน้อยๆสำหรับผู้ที่อยากเดินทางไปที่นี่ ขอบคุณที่แวะมาเที่ยวด้วยกันค่า ^_^
***สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้นำรูปภาพหรือข้อความใดๆไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต หากคุณคิดว่าเนื้อหามีประโยชน์กรุณากดปุ่ม ” share” ท้ายบล็อกหรือ redirect link มาที่เพจนี้***
FUFY
May 31, 2016คนบางคนรองเท้าพังก็บ่ยั่นเด้อ