Le Bistrot Chamonix ร้านอาหารแนะนำในมิชลินไกด์
Le Bistrot Chamonix ร้านอาหารแนะนำในมิชินไกด์ เป็นร้านอาหารแบบ fine dining ที่อยู่ใกล้กับจุดขึ้นเคเบิ้ลคาร์ Aiguille du Midi เป็นร้านที่หนึ่งหาเจอใน https://www.viamichelin.com/ ไม่ได้ดาวแต่แนะนำไว้ Michelin guide หนึ่งไป Chomonix 2 ครั้ง กินร้านนี้ทั้ง 2 ครั้ง ครั้งแรกไปกับครอบครัวแล้วติดใจเลยพาเพื่อนไปกินอีกรอบตอนไปครั้งที่สอง
จริงๆแล้วชาโมนีมีร้านอาหารเยอะมาก มีหลากหลายราคาให้เลือกแต่ที่หนึ่งเลือกกินร้านนี้เพราะเราคุยกันกับสมาชิกที่มาด้วยกันว่าเราจะกินอาหารดีๆกันวันละ 1 มื้อ อาจจะเป็นร้านอาหารที่แนะนำใน Michelin Guide(โดยไม่จำเป็นต้องเป็นร้านได้ดาว) หรือร้านอาหารที่คนพื้นที่แนะนำว่าดีและอร่อย หนึ่งเลือกมากินร้านนี้ทั้งสองครั้งเพราะเป็นร้านอาหาร fine dining ที่อยู่ใกล้ คืออยู่ในเขตใจกลางเมือง เดินไปได้ ร้านบรรยากาศสบายๆ ไม่ได้ดูหรูมากจนเกร็งและที่สำคัญราคาอาหารไม่แรงมากด้วยค่ะ เชฟเจ้าของร้าน Le Bristot เป็นชาวอิตาเลียน เมนูเค้าจึงเป็นอาหารฝรั่งเศสที่มีกลิ่นอายของอิตาเลียนด้วย รายการอาหารเค้าเปลี่ยนตามฤดูกาล ไป 2 ครั้ง เมนูไม่เหมือนเดิมเลยค่ะ
รอบแรกมากับครอบครัวมีสมาชิก 5 คน ไปทานมื้อเย็นกัน เราไม่ได้จองที่นั่งเลย อยู่ดีๆก็เดินเข้าไปในร้าน พนักงานดูงงๆ แต่ก็ต้อนรับเรา(อย่างสุภาพ) ครั้งแรกที่เราไปกินร้านนี้เอ๋อไปนิด เพราะร้านบริการแบบ formal มาก ในขณะที่เรานอกจากจะไม่ได้จองโต๊ะไปแล้ว หนึ่งในสมาชิกที่ไปด้วยกันแต่งตัวแบบเหมือนเพิ่งลงมาจากปีนเขา ดูแปลกแยกไปจากแขกโต๊ะอื่นๆที่แต่ตัวค่อนข้างค่อนสุภาพ แต่พนักงานเค้าบริการดีมากค่ะ
อาหารมีทั้งแบบ a la carte คือสั่งแยกมาเลยว่าอยากกินอะไรบ้างหรือเป็นเซ็ทเมนูที่เชฟเลือกไว้ให้แล้ว ซึ่งอาจจะมีทั้งแบบ 2 จาน (main dish & dessert, entree & main dish) หรือ 3 จาน (entree & main dish & dessert) ซึ่งอย่างหลังจะคุ้มกว่าเพราะราคามักจะถูกกว่าสั่งแบบ a la carte แต่อาหารในเซทเมนูจะไม่สามารถเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากที่ระบุไว้ หากแขกต้องการเปลี่ยนร้านจะชาร์จเงินเพิ่มซึ่งรายละเอียดจะกำหนดไว้มในเมนู อาหารเค้าเมนูจะไม่เหมือนเดิมนะคะ เปลี่ยนตามฤดูกาล ร้านนี้มีไวน์ให้เลือกเยอะเลยค่ะ
มาครั้งแรกเราสั่งแบบ a la carte และสั่งแค่ entree และ main dish มาและสั่งกันไม่ครบทุกคนด้วยเพราะยังไม่ค่อยหิวมาก
เป็นธรรมเนียมของร้านอาหารของฝรั่งเศสที่จะเสิร์ฟขนมปังก่อน ขนมปังเค้ามีให้เลือกหลายแบบ แต่ไม่ต้องมองหาขนมปังนุ่มนิ่มแบบที่บ้านเรานิยมกินนะคะเพราะมีแต่ขนมปังที่เปลือกกรอบ ข้างในนุ่มเหนียว หนึ่งไม่ชำนาญเรืองขนมปังมากนักแต่มีขนมปังที่ทำจาก sour dough แน่ๆเพราะมีรสเปรี้ยวนิดๆ ตอนหลังหนึ่งมาชอบกินขนมปังที่ครัสท์กรอบๆแบบนี้มากกว่าขนมปังนุ่มๆ
เนยและเกลือที่เสิร์ฟมาพร้อมขนมปัง เนยเนื้อแน่น เนียน และหอมมาก ทาขนมปังแล้วกินคู่ไวน์ อร่อยค่ะ
จริงๆตั้งใจจะสั่งไวน์แดง แต่ฟูฟีเธอตาลายไปสั่ง Champagne Rose มา chef de rang ที่ดูแลเราเค้าบอกว่ามันก็โอเคนะ กินกับอาหารมื้อนี้ได้ โอเค จัดไป ขวดนี้ 95 ยูโร (แพงอ่า >_< )
amuse-bouches เป็น starter ที่เชฟจัดมาให้ (โดยที่เราไม่ต้องออร์เดอร์ และไม่คิดเงินเพิ่ม) ส่วนใหญ่จะเป็นเมนูแบบกินน่ารักๆ เป็นการวอร์มเบาๆก่อนนำเมนูที่เราสั่งมาเสิร์ฟ ร้านเสิร์ฟมา 2 จาน จานแรกน้ำสีเขียวข้น หนึ่งไม่แนใจว่าเป็น avocado หรือเปล่า เสิร์ฟมาพร้อมบิสกิต อร่อยค่ะ
amuse-bouche อีกชุด เป็นกุ้งที่ปรุงรสมาหน้าตาเหมือนจะรสจัดแต่จริงๆรสเค้าเข้มแต่ไม่เผ็ด วางบนชีส อร่อยอีกแล้ว แบบว่าอยากขอเพิ่มเลย อิอิ
ซุปทรัฟเฟิลของฟูฟีเพราะเธอชอบกินเห็ดทรัฟเฟิล หนึ่งชิมๆแต่รู้สึกไม่ค่อยชอบมาก ซุปรสชาติดี หอมกลิ่นเห็ดทรัฟเฟิลแต่หนึ่งไม่ชอบฟองไข่ขามที่ท้อปมาบนซุป ชามนี้ 30 ยูโร
รอค่อนข้างนานมากกว่าจานหลักจะมา รอจนเกือบหลับไปและในที่สุดอาหารก็มา เราสั่งเนื้อแกะซึ่งสั่งป็นชุดสำหรับ 4 คน ตอนยกมาเสิร์ฟเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ๆแล้วพนักงานจะหั่นให้ข้างโต๊ะเลย สั่งแบบ medium rare แต่หนึ่งว่ามันค่อนไปทางดิบ พนักงานเห็นสีหน้าหนึ่งรีบมาถามเลยว่าโอเคไหมกับความสุกของเนื้อ ถ้าต้องการเค้าสามารถนำไปย่างเพิ่มให้ ซึ่งหนึ่งว่าขอสุกกว่านี้ดีกว่า
หลังจากนำไปย่างใหม่ กลับมาหน้าตาดีขึ้น อิอิ หอมขึ้นด้วย เป็นเนื้อแกะที่รสชาติอร่อย เฉพาะตัวเนื้อเองก็อร่อยแล้ว ไม่คาวเลย กินกับเครื่องเคียงที่เสิร์ฟมาบนจานซึ่งอร่อยทุกอย่างเลย น้ำราดที่ราดมาเบาๆอร่อยมากค่ะ คือเอาเนื้อจิ้มๆ กิน ฟินที่สุด ชุดนึงสำหรับสองคน 76 ยูโร ตกจานละ 38 ยูโร
จานนี้คือ “Ris de veau” หนึ่งแอบหาข้อมูลมาว่าคืออะไร ประมาณเป็นเครื่องในของลูกวัว ใน wiki บอกว่าเป็นต่อม thymus ที่คอ หรืออาจจะเป็นตับอ่อน แต่สามารถเป็นหัวใจหรือกระเพาะอาหารก็ได้ หนึ่งก็พยายาเล็งๆว่าน่าจะเป็นส่วนไหน แต่คงไม่ใช่หัวใจและกระเพาะอาหารแน่ๆ เนื้อค่อนข้างเด้งๆเวลาเคี้ยวนะคะ เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งบด อร่อยดีค่ะ
ของพี่สาว เนื้อลีนๆ ไร้ไขมัน ย่างมาแบบ medium rare ขอบนอกกรอบ ด้านในนุ่ม ฉ่ำ เนื้อไม่นุ่มเท่าเนื้อแกะ ประมาณต้องเคี้ยวนิดหน่อยแต่ไม่เหนียว เน้นรสเนื้อแบบเต็มๆ แต่เครื่องเคียงที่ให้มาทำให้รสชาติกลมกล่อม มีมันม่วงกรอบๆเพิ่มรสหวานด้วย จานเหมือนเล็กๆ แต่กินแล้วอิ่มกำลังดีสำหรับสาวตัวเล็กนะคะ จานนี้ 40 ยูโร
หลังอาหารจานหลักเราอิ่มกันสุดๆ เลยไม่ได้สั่งขนมหวาน พอเรียกเก็บตังค์ พนักงานยก amuse-bouche sucre ซึ่งเป็นขนมหวานที่ทางร้านจัดให้พิเศษ(โดยไม่คิดค่าบริการเพิ่ม) มี Tuiles almond กรอบ หอม หวานกำลังดี อร่อยมากค่ะ เมอแรงที่ไม่คิดว่าจะอร่อยแต่พอกัดคำแรก อยากกินเพิ่มรัวๆ กรอบมาก เนื้อละเอียดมาก ละลายในปาก ส่วนอีกตัวที่เป็นสี่เหลี่ยมคลุกน้ำตาลเหมือนเจลลีผลไม้รสเปรี้ยวซึ่งหนึ่งไม่ค่อยชอบมาก
รวมค่าเสียหาย 317 ยูโร ราคาแรงขึ้นเพราะแชมเปญเลยค่ะงานนี้ แต่มื้อนี้โดยรวมเราค่อนข้าง happy ทั้งบรรยากาศ รสชาติอาหาร การบริการที่ดีเวอร์ แม้จะต้องรออาหารนานไปหน่อย
********************************************************************************************
กลับมาอีกครั้งช่วงปลายเดือน ตค กับเพื่อนๆเพราะติดใจ อยากให้เพื่อนที่มาด้วยได้ชิมอาหารแบบ fine dining มารอบนี้เราไม่ได้จองเช่นเคยและไปทานอาหารเย็น ซึ่งก็ยังมีที่โต๊ะและพนักงานก็บริการสุภาพเช่นเคย แต่พนักงานหน้าตาเปลี่ยนไป มารอบนี้เมนูอาหารเปลี่ยนไปด้วย (เมนูเค้าเปลี่ยนตามฤดูกาล) มารอบนี้เพื่อนร่วมทริปถ่ายรูปเมนูไว้ค่ะ เลยรีวิวได้ละเอียดกว่ารอบแรก (ที่หนึ่งไม่ได้ถ่าย อิอิ)
ยกมาให้ดูว่าเค้าเซ็ทเมนูเค้าจัดแบบไหน เหมือนเดิมคือร้านมีทั้งอาหารที่เป็น a la carte และอาหารแบบเซ็ทที่เชฟเลือกให้ (เมนู a la carte หนึ่งไม่ลงรูปนะคะเพราะเมนูเค้าจะเปลี่ยนตลอด) อาหารเป็นเซ็ทเค้ามี 2 แบบ
แบบแรกเป็นเมนู fix ทั้งเมนูและราคา คืออาหารทั้ง entree, main dish และขนมหวาน ทางร้านเลือกมาให้เลย เราแค่สั่งว่าจะกินแบบกี่จาน ซึ่งแบบนี้จะราคาถูกสุด
เมนูเซ็ทแบบที่สอง แบบนี้จะมีความยืดหยุ่นกว่าคือเราสามารถเลือกอาหารจากเมนู a la carte ได้เลย จะเลือกกินแบบ 2 จาน 3 จานหรือ 4 จาน แต่ะละเซ็ทราคาก็จะต่างกันไป เซ็ทแบบนี้จะราคาสูงกว่าแบบเซ็ทแรก
สมาชิก 4 คนเลือกอาหารเซ็ททุกคน เลือกกินเซ็ท 2 จาน (main dish + dessert) ยกเว้นฟูฟี เธอจัดเต็มเลือกเซ็ท 3 จาน (entree, main dish, dessert) มาดูกันว่าใครกินอะไรบ้าง
ตามธรรมเนียมค่ะ ขนมปังมาก่อน แต่รอบนี้เนยไม่ได้เสิร์ฟอะลังแบบตอนแรก
amuse-bouches 2 จานเหมือนเดิม แต่ไม่เหมือนเดิม อิอิ amuse-bouche จานแรกน้ำเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นแดงอมชมพู หนึ่งไม่แน่ใจว่ามีบีทรูทด้วยหรือเปล่า รสมันเฝื่อนๆ ชอบสีเขียวแบบรอบที่แล้วมากกว่า
amuse-bouches จานที่สอง เป็นแฮมกับมะกอก จานนี้หนึ่งเฉยๆค่ะ
เริ่มด้วย entree เป็น duck foie gras เสิร์ฟมาพร้อมแครนเบอร์รีคาราเมล แยมส้ม และขนมปัง จานนี้ต้องกินคู่กันหมดทุกอย่าง เอาฟัวกราส์วางบนขนมปัง แตะเกลือนิดๆ วางแยมส้ม คืออร่อยมากกกก จะมีครบรสทั้งมัน หวาน เปรี้ยว เค็มและความกรอบของขนมปัง ลงตัวมากค่ะจานนี้
ขนมปังที่เสิร์ฟมาพร้อมฟัวกราส์ อบมาจนกรอบ ป้ายๆฟัวกราส์ อร่อยยยยย
จานหลักจานแรกของฟูฟีเป็น US Black Angus มาพร้อมซอสฟัวกราส์ เนื้อไม่ติดมัน ย่างมากำลังดี เนื้อนุ่มแต่ค่อนไปทางจืดๆ
จานนี้ของหนึ่งเอง เป็นเนื้อคล้ายๆกับที่มากินรอบแรก แต่รู้สึกว่าอร่อยน้อยลง อาจจะซอสที่มาด้วยค่อนไปทางจืดเหมือนจะเน้นรสชาติของเนื้อจริงๆ
จานหลักของเพื่อน เป็นกุ้งลายเสือย่าง กุ้งสดมากค่ะ ย่างมากำลังดี หอมและหวาน แค่ตัวกุ้งย่างก็อร่อยโดยไม่ต้องง้อน้ำจิ้มหรือเครื่องเคียงเลย แต่เครื่องเคียงที่ให้มาอร่อย จานนี้ชิมนิดหน่อย เกรงใจเพื่อน กลัวเค้าไม่อิ่ม อิอิ
จานหลักจานสุดท้าย เป็นปลาเทราท์ในซ้อสส้ม ของเพื่อนค่ะ ได้ชิมนิดหน่อย รสชาติไม่ได้ว้าวมากสำหรับหนึ่ง รสค่อนไปทางจืด
จบอาหารจานหลักไป รอบนี้อาหารที่สั่งมาไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ แอบผิดหวังเบาๆ สั่งหนมกินดีกว่า
Bailey’s ice cream ท้อปบนมู้ส dark chocolate & coffee อร่อยมากค่ะ #สาวก dark chocolate อิอิ
Poached pear วางบน orange sable breton กรอบๆมีไอติมรสน้ำผึ้งและเบอร์รีเสิร์ฟมาด้วย จานนี้หนึ่งไม่ได้ชิมเพราะกำลังจุกกับขนมตัวเอง เอิ้กๆ
มาถึงจานของหนึ่ง เป็น st honore ชูครีมไส้เกาลัดวางบนพัฟหรอบๆ กินกับไอติม red currant sorbet รสชาติโดยรวมเปรี้ยวไปสำหรับหนึ่ง ปกติหนึ่งไม่ชอบขนมที่รสเปรียวแหลมไป จานนี้กินไม่หมดด้วย แอบเสียดาย
pineapple fritter เสิร์ฟพร้อมครีมมะพร้าว เป็นสับปะรดชุบแป้งทอด หนึ่งชิมไปนิดหน่อยเพราะอิ่มจุกมาก อร่อยดีค่ะ กินคู่กับครีมมะพร้าว เข้ากั๊นเข้ากัน
เป็นท้ายด้วย amuse-bouche sucre ที่ทางร้านจัดมาให้ขณะรอจ่ายเงิน จานนี้หนึ่งแทบไม่ได้แตะเลยเพราะอิ่มกัน เพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นผู้ชายในกรุ้ปแกจัดการให้
ความเห็นส่วนตัว แม้ทานครั้งที่สองไม่ค่อยประทับใจเรื่องรสอาหารเท่าครั้งแรก แต่ถึงยังไงหนึ่งก็ยังแนะนำถ้าใครอยากจะลองกินอาหารแบบ fine dining ถ้ามาที่ชาโมนี เหตุผลคือ
1. โลเคชันที่อยู่ในเมือง เดินทางง่าย
2. เหมาะสำหรับคนที่อยากลองทานอาหารแบบ fine dining และอยากลองชิมอาหารที่มิชลินแนะนำ เพราะราคาอาหารไม่แพงมาก ใช้วัตถุดิบอย่างดี ตกแต่งจานสวยงามและการบริการที่ดีในบรรยกาศที่สบายๆ
3. ร้านยินดีให้บริการแม้ไม่ได้จองไป (ปกติร้านที่เป็น fine dining ควรจองไปก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีโต๊ะและเพื่อมารยาท)
4. ส่วนรสชาตินั้น แล้วแต่ความชอบส่วนตัวและประสบการณ์นะคะว่าอาหารที่สั่งไปจะถูกปากหรือเปล่า สำหรับหนึ่งการรอดูว่าเชฟจะทำอาหารแบบไหน แต่งจานยังไงก็สนุกแล้ว ถ้ารสชาติถูกปากด้วยถือว่าสุดยอดค่ะ ^_^
5. ถ้าอยากทานอาหารร้านนี้แบบราคาย่อมเยาว์ ลองไปช่วงเที่ยงแล้วสั่งอาหารเป็นเซ็ทมานะคะ เซ็ทละ 22 ยูโรเท่านั้น
About Le Bistrot
อาหาร: French cuisine, international, fine dining เวลาเปิด-ปิด: เปิดบริการทุกวันโดยเปิดสองรอบคือ มื้อเที่ยงและมื้อเย็น แต่ละฤดูเวลาเปิดปิดจะต่างกัน ลองเช็คในเว็บไซต์เค้าก่อนและจองก่อนล่วงหน้าได้ ราคา: เฉลี่ย 900 บาทต่อหัวขึ้นไป ที่อยู่ : 151 Avenue de l’Aiguille du Midi, 74400 Chamonix-Mont-Blanc, France Tel: +33 4 50 53 57 64 website: http://www.lebistrotchamonix.com/en/ |
***สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้นำรูปภาพหรือข้อความใดๆไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต หากคุณคิดว่าเนื้อหามีประโยชน์กรุณากดปุ่ม ” share” ท้ายบล็อกหรือ redirect link มาที่เพจนี้***
FUFY
July 21, 2017ครั้งหนึ่งในชืวิต ^_^