Epernay & Troyes
หลังจากไปชิมแชมเปญระดับโลกที่ Moët & Chandonกันไปแล้ว วันนี้หนึ่งจะพาเดินโต๋เต๋ชมเมืองของแคว้นแชมเปญกันบ้าน เดี๋ยวจะหาว่าทริปเมรีเราร่ำแต่น้ำเมา อิอิ สำหรับแคว้นนี้เราเที่ยวกันแค่สองเมืองเท่านั้นคือ Epernay & Troyes ชื่อเมืองนี่หนึ่งไม่กล้าออกเสียงแบบฝรั่งเศสเลยล่ะ ภาษาฝรั่งเศสเค้ามีความเฉพาะตัวจริงๆ แต่เป็นสองเมืองที่เราเดินกันชิลๆเพราะเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากแถมเราเที่ยวกันวันอาทิตย์ ร้านรวงเค้าก็ปิดเป็นส่วนใหญ่ บรรยากาศเลยไม่คึกคักเท่าไหร่นัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของแต่ละเมือง
เริ่มกันที่ Epernay ก่อน เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆแต่มีความสำคัญเพราะเป็นเมืองหลักในการผลิตแชมเปญ มีแชมเปญเฮาส์เจ้าดังๆหลายเจ้า (รวมทั้ง Moët & Chandon)ไม่นับเจ้าโลคอลอีกมากมาย เมืองนี้จึงเหมาะที่จะมาทัวร์ชิมแชมเปญ เรามีเวลาที่เมืองนี้น้อยไปหน่อยเพราะหนึ่งจัดให้ไปเที่ยวอีกเมืองต่อ จริงๆไม่ได้ตั้งใจอยากเก็บหลายเมืองแต่เป็นเพราะเป็นวันอาทิตย์ บวกกับเราต้องเดินทางอีกไกล
นอกจาก Moët & Chandon แล้ว เราแวะถ่ายรูปกับ Avenue de Champagne ซึ่งเป็นถนนด้านหน้าของ Moët & Chandon ถนนเส้นนี้ว่ากันว่าเป็น “ถนนที่แพงที่สุดในโลก” มีมูลค่ามากกว่า Champs-Élysées ในปารีสที่มีร้านของแบรนด์เสียอีก เหตุเพราะสองข้างทางถนนเส้นนี้เป็นที่ตั้งของแชมเปญเฮาส์ดังๆระดับโลกหลายเจ้า แต่ละเจ้าก็ใหญ่โตราวกับราชวังและมีแชมเปญตัวเองเก็บไว้ในห้องบ่มอย่างที่หนึ่งพาไปชมในบลอกเอนทรีที่แล้ว ว่ากันว่าถ้านับเป็นขวดแล้ว มีแชมเปญที่เก็บบนถนนเส้นนี้กว่า 1,000,000 ขวด!
ให้ดูภาพที่คุณ Michal Osmenda ถนนเป็นแบบนี้ วิลลาหรือคฤหาสน์ที่เห็นเป็นแชมเปญเฮาส์
มาดูรูปหนึ่งบ้าง เราไม่ได้เดินดูจนสุดถนนเส้นนี้นะคะ เพราะวิลลาแต่ละเจ้ามีรั่วรอบขอบชิดแถมปิดกันทุกเจ้าเลยเลยเลือกเส้นที่เข้าเมืองเพื่อหาอาหารเที่ยงหม่ำด้วย
ถ่ายรูปกับป้ายนิดนึง เป็นที่ระลึก ^_^ ถนนที่แพงที่สุดในโลกเลยนะ! เราคงไม่ได้มากันบ่อยๆ
เดินข้ามถนนไปเยื้องๆ Moët & Chandon คือ Hôtel de ville หรือ city hall ถ้าสังเกตจะเห็นว่าในฝรั่งเศษมีกันทุกเมืองและไม่ได้เป็นโรงแรมแต่อย่างใด เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ รอบๆมีสวนที่ยังเปิดให้เข้าฟรี
ถัดมาอีกนิดเป็นวงเวียน มีร้านอาหารอยู่แถวนี้หลายร้านที่เปิดให้บริการ มีร้านแชมเปญขนาดย่อมด้วยแต่ปิด เราก้ไปส่องๆดูแบบ window shopping จริงๆ
อากาศดีมากกกก ฟ้าสวย ไม่เย็นมากด้วย ใบไม้เปลี่ยนสีกำลังสวยเลย <3 <3
เจอร้านนี้ เธอเป็นแฟรนไชส์มีทั่วยุโรป ที่ปารีสก็มีสาขาเยอะมาก มีทุกสถานีรถไฟใหญ่ๆเลยทีเดียว (บ้านเราก็เห็นมาเปิดนะ) ตอนแรกคิดว่าจะได้ฝากท้องที่แล้ว แต่เดินเข้าไปสำรวจแล้วยังไม่ถูกใจเพราะเค้าเน้นขนมๆกับแซนวิชหรืออาหารง่ายๆ แต่เราต้องการอะไรที่หนักหน่อย
ปิดท้ายเมืองนี้ด้วยอาหารเที่ยงในร้านอาหารตรงข้ามร้านพอลนั่นเอง เห็นมีคนกินเยอะ ร้านดูใหญ่โต น่าจะอร่อย(มั้ง) มีเมนูภาษาอังกฤษให้แต่พนักงานไม่พูดภาษาอังกฤษ ซึ่งไม่เป็นปัญหาค่ะ สั่งอาหารได้ แต่อาหารเค้าไม่ค่อยถูกปากนัก สเต็กเหนียวมากกก >_<
ออกจาก Epernay เป้าหมายต่อไปคือเมือง Troyes เดี๋ยวก่อน ไม่ว่าคุณจะอ่านชื่อเมืองนี้ยังไงแต่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด เมืองนี้ออกเสียง”ทฮวา” ขออภัยนะคะหากผิดหลักภาษาไทย แต่พยายามเขียนให้ตรงกับภาษาที่เค้าออกมากที่สุด จริงๆเมืองนี้ไม่ได้อยู่ในแผนแต่แรกตั้งใจแค่วิ่งผ่าน เพื่อนชาวปาริเชียงบอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองช้อปปิ้งนะ เป็นเมือง outlet เพราะหลายแบรนด์มีโรงงานที่นี่ หนึ่งลองเข้าไปดูแบรนด์แล้วไม่รู้จักเลย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจแวะเพราะดูจากรูปในเน็ทแล้วเมืองเก่าเค้าสวยดีแล้วก็ไม่ผิดหวังที่แวะ เป็นอีกเมืองที่หนึ่งชอบมากๆ ระยะทางจาก Epernay มาเมือง Troyes ประมาณ 112 กม วิ่งชั่วโมงกว่าๆก็ถึงแล้ว
เส้นทางระหว่างเมือง บางช่วงมีต้นไม้เปลี่ยนสีริมทาง ดูสวยดีนะ
แม้จะเป็นวันเดียวกัน พอเข้าเขตเมือง Troyes เหมือนหนังคนละม้วน แดดหายเกลี้ยง เมฆมาแทนที่ T_T หนึ่งขับเข้าเมืองแบบงงๆ ตั้ง GPS ให้พาไป tourist information center ในเมืองเก่า ถนนในเมืองเก่าค่อนข้างเล็กและมี one way เยอะ โชคดีที่เป็นวันอาทิตย์ รถไม่เยอะ หาที่จอดรถริมถนนได้เราเดินไปเที่ยวในโซนเมืองเก่าเลย ปล. ที่จอดรถริมถนนจริงๆแล้วเราต้องหยอดเหรียญ แต่หลังจากไปยืนงมๆหาทางอยู่ว่าทำยังไงอยู่นานก็ละความพยายามไป ก็ไม่มีภาษาอังกฤษเลย ถามคนที่เดินผ่านไปมาก็คุยกันไม่รู้เรื่อง เลยจอดแบบไม่ได้จ่ายเงินไป แลดูรถที่จอดแถวนั้นเค้าก็ไม่วางบัตรจอดรถหน้ารถ น่าจะจอดฟรี(มั้ง) วันอาทิตย์นี่นา ไปเที่ยวกันดีกว่าเนอะ
พุ่งมาที่ tourist information center ก่อนเลยเพื่อมาขอแผนที่ ดีใจมากที่ยังเปิดให้บริการแม้จะเป็นวันอาทิตย์ มีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการประปราย หลังจากได้แผนที่แล้วมาเดินเที่ยวกันเลย
เราอยู่ในย่านเมืองเก่าแล้ว เดินเที่ยวกันเลยค่ะ (จริงๆแทบไม่ได้ใช้แผนที่เลย..แล้วจะไปเอามาทำไมเนี่ย) เมืองเก่าเค้าต้องใช้คำว่า “well preserved” คือยังคงความเก่าไว้จริงๆค่ะ ทุกอย่างดูเหมือนเดิมๆ แต่ยังใช้งานอยู่ เป็นคาเฟ่บ้าง ร้านอาหารบ้างดูมีเสน่ห์มาก ถูกใจ(ป้าแก่)อย่างหนึ่ง อิอิ บ้านเหล่านี้ส่วนใหญ่สร้างในศตวรรษที่ 15-16 มีความขลัง..จริงๆนะ เดินๆนึกว่าย้อนไปอยู่ในยุคโบราณ แต่วันอาทิตย์นักท่องเที่ยวน้อย เลยดูเหงาๆไปบ้าง
ติดใจตรอกนี้ เป็นตรอกแคบๆระหว่างบ้านที่กำลังโย้เข้าหากัน! มีไม้กั้นการโย้ แหงนหน้าดูด้านบน ตัวตึกไม้โน้มเข้าหากันด้วย เดินผ่านไปลุ้นไปด้วย
มีร้านขายของเก่าด้วย ของเยอะมาก ลองเดินเข้าไปส่องๆ เผื่อมีของที่อยากได้แต่ก็ล่าถอยออกมาเพราะราคาแต่ละชิ้นค่อนข้างสูง
จริงๆแล้วเมืองนี้มีโบสถ์ยุคโกธิคที่สวย แต่เราเดินไปไม่ถึงเพราะฝนลงเสียก่อน รีบวิ่งกลับไปที่รถแทบไม่ทัน ปิดท้ายแคว้นแชมเปญที่เมืองนี้ ^_^ บล็อกเอ็นทรีหน้าจะพาข้ามแคว้นไป Burgundy
***สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้นำรูปภาพหรือข้อความใดๆไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต หากคุณคิดว่าเนื้อหามีประโยชน์กรุณากดปุ่ม ” share” ท้ายบล็อกหรือ redirect link มาที่เพจนี้***
FUFY
November 22, 2016ชอบความเป็น France ที่ยังคงความขลังของตึกเก่าๆ เคยเป็นมายังไงก็ยังเป็นอย่างงั้น มันช่างดูศักดิ์สิทธิ์ ทรงคุณค่าของมันจริงๆ
adrenalinerush
November 23, 2016เนอะ อยากไปอีกแล้วอ่ะ มีต้นอะไรออกดอกเป็นเงินไหม จะปลูก 555