ใบไม้เปลี่ยนสีที่ Shirakawago และ Kyoto


บล็อกนี้เป็นการรวบรวมเอาสถานที่ท่องเที่ยวชาวงใบไม้เปลี่ยนสีที่ Shirakawago และ Kyoto มันเป็นเรื่องที่หนักใจพอสมควรที่จะอัดรูปสถานที่หลายแห่งไว้ในบล็อกเดียว หนึ่งต้องใช้กำลังภัยผนวกกับลมปราณผสานและผนึกรูปต่างๆจนสำเร็จหลังจากตัดรูปออกไปมากมาย อิอิ การลงบล็อกเที่ยวต้องใช้กำลังภายในเยอะกว่าปกติ ไหนจะเพียรเลือกรูป(ที่คิดว่าสวย) ไหนจะต้องเรียบเรียงเรื่องราว และไหนจะต้องพิมพ์ หนึ่งจิ้มดีดเอา อ่านๆไปก็ไม่ต้องตกใจนะคะถ้ามีคำอะไรแปลกๆจากการจิ้มดีดผิด

พาขึ้นมาทางเหนือของตอนกลางของญี่ปุ่นไปเที่ยวหมู่บ้านเล็กๆ แต่เลื่องชื่อคือ ชิระคะวะโกะ (Shirakawago) นั่นเอง

ชิระคะวะโกะ (Shirakawago) เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ในเขตจังหวัด Gifu บอกว่าเล็กๆแต่ไม่ธรรมดานะคะ เพราะหมู่บ้านนี้มีเอกลักษณ์คือตัวบ้านที่มีลักษณะเฉพาะ หลังคามุงด้วยฟางต้นไม้ ใบไม้แห้งมัดเป็นฟ่อนๆ โดยการมุงจะเป็นลักษณะ gasshō-zukuri (合掌造り) อ่านไม่ออกแปลไม่ได้ แหะๆ แต่ภาษาปะกิดคือ “prayer-hands construction” ฟังดูน่าจะเข้าใจมากกว่านะคะ คือหลังคาสองฝั่งจะปนะกบกันสูงและชัน ลักษณะคล้ายมือสองช้างที่ประกบกันตอนสวดมนต์ (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)หนึ่งคิดว่าถ้าให้สถาปนิกมาอธิบายอาจจะฟังดูเข้าใจง่ายนะคะ อันนี้หนึ่งแปลแบบบ้านๆมา คริๆ โครงสร้างของหลังคาแบบนี้บวกกับคุณสมบัติเฉพาะของฟางทำให้หลังคาทนสามารถต้านหิมะหนาในช่วงหน้าหนาวที่โซนนี้มักจะหนาวเหน็บและหิมะสูงได้ บ้านลักษณะนี้เชื่อว่าสร้างกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันมีเหลือประมาณ 150 หลังในเขตนี้ซึ่ง UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรกดกโลกแล้ว

โดดเด่นขนาดนี้ชิระคะวะโกะจึงเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเขตนี้ หนึ่งเคยเห็นรูปหมู่บ้านนี้ในหน้าหนาว น่ารักมากๆ หิมะสูงๆกับบ้านที่ดูไกลๆเหมือนเมืองตุ๊กตาเลย แต่ไปฤดูอื่นก็สวยได้ เช่น ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี สวยแค่ไหนตามมาชมได้เลยค่ะ

ตัวหมู่บ้านมีภูเขาล้อมรอบ ถ้าเป็นสมัยก่อนคงเดินทางยากมาก แต่ยุคจรวดอย่างตอนนี้เดินทางง่ายมาก เราเช่ารถแล้วขับไปกันเองจากทะคะยะมะ GPS พาไปขึ้นทางด่วน ต้องรับบัตรทางด่วนตอนขึ้นแล้วไปจ่ายเงินตรงทางออก ถนนดีมากแม้บางช่วงจะโค้งไปมา บางช่วงต้องลอดอุโมงค์ภูเขา (เจ๋งมากค่ะ ชอบๆๆ เค้าเจาะอุโมงค์ในภูเขาแบบยาวววโดย) จริงๆควรใช้เวลาแค่ 1 ชม นิดๆ แต่เราเริดค่าใช้เวลานานกว่าเพราะเลยทางเลี้ยวSmiley มันเกิดขึ้นได้(เรื่อยๆ) เรื่องหลงเรื่องเลยถ้าเที่ยวเอง แต่อย่าได้แคร์ค่ะ ขับรถสวยๆไปถึง Gogayama ที่อยู่ถัดไป ไหนๆก็เลยแล้ว แวะเที่ยวข้างหน่อยแล้วกัน 😉 จาก Gogayama-Shirakawako เราวิ่งถนนโลคอลเล็กๆ ใช้เวลานานหน่อย แต่สวยค่ะ นั่งชมวิวไป จกขนมกินไป ที่ไหนสวยก็แวะชมเป็นเรื่อยๆ แวะไปเขื่อนใดๆ(คืออ่านชื่อภาษาญี่ปุ่นไม่ออก) เห็นป้ายแปะข้างทางเลยลองขับไปดู
 
 

 
 

 
 
นี่เรามาทำอะไรกันที่นี่ อิอิ ลมแรงมาก ใบไม้ออกไปทางเริ่มแห้ง สงสัยจะเป็นช่วงเลยพีคและกำลังโรยร่วง แต่ก็โอเค ยังสวยงาม

ขับรถต่อไปที่ชิระระคะวะโกะแบบชิลๆ ถึงลานจอดรถแบบสวยๆ แดดเริ่มมาพอดี ดีใจมากมาย ที่จอดรถ “ไม่ฟรี” เสีย 500 เยน จ่ายกับเครื่องจ่ายเงินอัตโนมัติตอนออก
 
 

 
 
จอดรถเสร็จต้องเดินข้ามสะพานไป เพราะตัวหมู่บ้านอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ Shō
 
 

 
 
เดินเข้ามาในหมูบ้านเห็นลักษณะบ้านแบบ
gasshō-zukuri ชัดๆ หลังจากที่หนึ่งไปอ่านข้อมูลเองเรื่องโครงสร้างของบ้านแบบนี้ ก็คิดได้ว่าถ้าได้สถาปนิกมาอธิบายให้ฟัง คงฟังเข้าใจง่ายกว่านี้ เพราะตอนหนึ่งอ่านดูมันน่าสนใจมากๆ แต่ไม่กล้าเขียนเพราะเกรงว่าจะแปลมาผิด เดชะบุญ บล็อกแกงเรามีสมาชิกผูทรงคุณวุฒิ และให้เกียรติมาเพิ่มเติมไว้ หนึ่งขออนุญาตเอามาแปะไว้ในบล็อก เพื่อเป็นความรู้นะคะ เพราะของเค้าดีจริงไม่งั้นไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแน่นอนค่ะ
 
 


 
 

Gassho Zukuri ของญี่ปุ่นนี่ concept จริงๆก็คือ

เป็นการสร้างบ้านแบบที่มีรูปทรงหลังคา เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศทีมีหิมะตกหนาทึบ แทบทั้งปี

เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน ใช้วัสดุ ของที่หาได้ ภายในท้องถิ่น พวก ไม้ไผ่ ดินเหนียว หญ้า และฟางข้าว ที่ได้จากการเพาะปลูก ไม่ต้องไปซื้อหา ให้ลำบากลำบน

การก่อสร้างก็อาศัยความสามัคคีของคนในหมู่บ้าน มาร่วมแรงร่วมใจ ช่วยกันคนละไม้ละมือนี่แหละ

จุดเด่นของ Gassho Zukuri ก็คือรูปทรงหลังคาแบบ สามเหลี่ยม ที่ดูเหมือนการประกบมือสองข้างเข้าหากัน หรือการประนมมือ ไหว้พระ เสสัง มังคะลัง กุมาโรมัง ยาจามิ

หลังคาทรงสูงแบบนี้ จะทำจากหญ้าและฟางข้าวซึ่งถูกมัดและเรียงซ้อนสลับกันเป็นชั้นๆ บางทีซ้อนไปซ้อนมา
เพลินไปหน่อย หนาเป็นเมตรเลยก็มี 555

แล้วก็ทีเด็ด ของหลังคาทรงสูงสไตล์นี้ก้คือ ความสูงของตัวบ้านและหลังคาจะมากกว่าบ้านปกติทั่วไป

ถ้าเทียบกับบ้านทั่วๆไป ก็จะประมาณ 2 – 4 ชั้น ทีเดียว
ซึ่งความสูงขนาดนี้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีปล่องควัน

เพราะเวลาทำกับข้าวหรือจุดเตาฟืนสร้างความอบอุ่นในบ้าน ควันก็จะลอยขึ้นสูง ไม่ตลบอบอวลในระดับที่มีคนอาศัยอยู่

แถมควันก็ยังช่วยลดความชื้นให้กับหลังคาหญ้าและฟางข้าวอีกตะหาก

นอกจากนั้นพื้นที่กว้างขวางด้านบนก็พอเพียงที่จะใช้เก็บข้าวของ เลี้ยงหนอนไหมสำหรับทอผ้า หรือใช้เป็นยุ้งฉางสำหรับผลผลิตที่เก็บเกี่ยวมาได้ด้วย

แล้วหลังคาทรงสูงปรี๊ด slopeมากๆ แบบนี้ ยังช่วยให้ฝนหรือหิมะไหลลงสู่พื้นดิน ด้านล่างเร็วขึ้นอีกด้วย

ตอนที่ฝนตกหนักๆ ก็จะไม่ทำให้น้ำฝนซึมผ่านหลังคาลงมาในตัวบ้าน และยามที่หิมะตกหนักต่อเนื่องกันเป็นเวลานานหิมะก็จะสไลด์ตัว ลงเร็ว ไม่เกาะตัวอยู่บนหลังคามาก

ทำให้หลังคาไม่ต้องรับน้ำหนักที่มากเกินไปของหิมะอีกด้วยน้า

แล้วก้อายุใช้งานหลังคาแบบนี้ อยู่ทนอย่างเหลือเชื่อ
ทนกว่าสีทนได้อีกเชียวนะ อย่างต่ำก็30-40 ปี เลยทีเดียว

ข้อมูลจาก อ.เต๊ะ multiple



อ่านดูแล้วถึงบางอ้อ ที่หนึ่งอ่านมาเองจากหลายแห่งมารวมกันในเม้นท์เดียวของ อ. เต๊ะ แถมเป็นภาษาที่คนธรรมดาฟังแล้วเข้าใจทันที อิอิ
มาดูหลังคาแบบใกล้ๆ ไม่ได้เป็นฟางข้าวนะคะ เป็นต้นไม้ ใบไม้แห้ง เป็นหลังคาที่หนามากๆ แต่ถ้าไม่หนาแบบนี้ก้คงไม่สามารถต้านทานหิมะในหน้าหนาวได้


 
 

 
 
ในหมู่บ้านนี้ชาวบ้านยังใช้ชีวิตกันตามปกตินะคะ บางบ้านปักป้ายขอความสงบและพื้นที่ส่วนตัวที่นักท่องเที่ยวไม่ควรบุกรุกด้วย บางหลังขายขนม ที่ระลึก ของฝาก มี “เนื้อฮิดะ” สียบไม้ขายด้วย หนึ่งซื้อมาชิมดู อร่อยดีแต่ไม่เท่าทานที่ร้านที่รีวิวไป ไม้นี้ 500 เยน

ในหมูบ้านมีพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมหลายแห่ง แต่เรารวบรัดตัดตอน เดินมาจุดชมวิวเลยละกัน เดินขึ้นเขาทดสอบลมหายใจเบาๆ อากาศเย็นๆ เดินสบายดีค่ะ ถ้าจะไม่เดินก็ขับรถขึ้นไปได้ แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก้เดินกัน

วิวระหว่างทางเห็นใบไม้แดงๆ บ่งบอกถึงฤดูที่เรามาเยี่ยม
 
 

 
 
ดูแบบสบายตา หน่อย ^_^ มองไกลๆเหมือนบ้านตุ๊กตาเลยนะคะ แต่หนึ่งคิดไปเองว่า ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาว มีหิมะขาๆสูงๆแบบที่เห็นในโปสการ์ดดูมีเสน่ห์ น่ารัก(กว่า)..ไหมคะ
 
 

 
 
จากชิระคะวะโกะ พุ่งไปเกียวโตต่อแบบรวดเร็ว เราคืนรถที่ทะคะยะมะ แล้วนั่งรถไฟไปต่อชินคันเซ็นที่นะโกะยะ ใช้เวลาเดินทาง 1 ชม กว่าๆ ก็มาถึงเกียวโตแล้ว
 
 
“เกียวโต” กับ “โตเกียว” หนึ่งเรียกผิดบ่อยมากค่ะ สำหรับหนึ่งสองเมืองนี้เหมือนเป็นกระจกส่องกัน อีกเมือง เมืองนึงเป็นเมืองหลวงในอดีต ปัจจุบันคับคั่งด้วยวัฒธรรมและวัดที่สวยงาม ผู้คนน่ารัก อยู่กันแบบชิลๆ แต่อีกเมืองเป็นเมืองหลวงยุคปัจจุบันที่ทันสมัยระดับโลก ทันสมัยสุดๆ ผู้คนคับคั่ง ต่างกันแบบคนละขั้ว แต่มีเสน่ห์คนละแบบนะ

แต่ เกียวโตวันนี้ ต่างจากเมื่อ 6 ปีที่แล้วนะในความรู้สึกหนึ่ง คนมาจากไหนเยอะแยะเลยแฮะ รถก็ติด สถานที่ท่องเที่ยวคนเยอะมากกก คลาคล่ำไปด้วยทัวร์จีนอันดับ 1 ทัวร์ไทยอันดับ 2 ไม่นับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเอง รถเมล์ก็แน่นมากๆด้วยSmiley แต่ถึงจะบ่นๆๆ ยังไงก็ยังชอบเกียวโต เพราะเป็นเมืองที่ถามหาความเจริญก็มี วัสวยๆมากมาย อยากเห็นคนใส่กิโมโนก็ได้ ดูเป็นญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น เกียวโตมีที่เที่ยวเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นแนววัฒนธรรม วัดวาอาราม หนึ่งคิดว่าถ้าจะเที่ยวให้ครบจริงๆต้องอยู่นานๆเป็นอาทิตย์หรือหลายอาทิตย์เลยทีเดียว แต่เราเที่ยวแบบติดจรวดค่า จัดไป 2 วัน ตามนี้เลย

***การเดินทางท่องเที่ยวในเกียวโตใช้ทั้งรถไฟและรถเมล์ และเดินเยอะจริงๆ ไปเที่ยวญี่ปุ่นเองต้องใส่รองเท้าแบบลืมสวยเน้นสบายเท้าไว้ก่อนดีกว่านะคะ***

Arashiyama อยู่ใกล้เกียวโตมากๆ นั่งรถไฟประมาณ 10-15 นาทีก็ถึง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเพราะมีแม่เหล็กอย่าง สวนป่าไผ่ วัด Tenryu-ji และรถไฟสายโรแมนติก แต่หนึ่งและคณะเที่ยวแค่ 2 สถานที่แรกเพราะส่วนตัวไม่ค่อยชอบนั่งรถไฟชมวิว มันถ่ายรูปยาก อยากจอดตรงไหนก็ไม่ได้ด้วยซี แหะๆ

แวะศาลเจ้าใกล้สวนไผ่แว้บนึง
 
 

 
 
พุ่งมาที่ สวนป่าไผ่ (Bamboo Groove) อยู่ติดรั้ววัดเทนริวจิ หนึ่งเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก อ่านใน LP เค้าชื่นชมโสมนัสกับที่นี่มากๆเลยต้องมาพิสูจน์ด้วยตาจั๊กหน่อย
 
 

 
 
ทางเดินเล็กๆ สองข้างทางเป็นสวนไผ่สูงดูร่มรื่นมากๆ ไผ่เขาเป็น Running Bamboo คือเป็นไผ่ยืนต้นเดียว ไม่เป็นกอแบบแถวบ้านเรา ถ้ามาเดินสงบๆคงรู้สึกสวยงาม แต่ความเป็นจริงคือคนเยอะมากๆค่ะ รู้สึกเหมือนเรามาทำอะไร
ที่นี่นะ คงเหมือนที่ท่องเที่ยวอื่นๆทุกที่ในเกียวโตตอนนี้กระมัง ถ้าอยากเลี่ยงความคับคั่ง แนะนำให้ไปช่วงเช้าๆเลยค่ะ
 
 

 
 

 
 
เสน่ห์ของเกียวโตที่หนึ่งชอบ เราจะได้เห็นสาวญี่ปุ่นใส่กิโมโนเดินๆอยู่ น่ารักที่สุด ไม่รู้ว่านักท่องเที่ยวมาเที่ยวเมืองไทยแล้วเห็นคนไทยใส่ชุดไทยเค้าจะชอบไหม
 
 

 
 
ชมสวนไผ่แล้วมาชมสวนใน วัดเทนริวจิ กันต่อ วัดเทนริวจิเป็นวัดเซนขนาดใหญ่ในเกียวโตและเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เป็นมรดกโลกด้วย เรามาชมสวนอย่างเดียว
จ่ายค่าเข้าชมสวนคนละ 500 เยน สวนสวยมากๆค่ะ เป็นวัดที่ใหญ่จริงๆ
 
 

 
 

 
 

 
 


 
 
ข้ามมาทางทิศใต้ของเกียวโตกันบ้าง แวะชมใบไม้แดงที่ วัด Tofukuji
 
 


 
 
วิวจากสะพาน
Tsuten Bridge ดูคล้ายวัดน้ำใส แต่ไม่ใช่นะค้า


 
 

 
 

 
 
มาต่อที่สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต อยู่ไม่ไกลจากวัด Tofukuji นังรถไฟแค่สถานีเดียว แต่ไม่น่าเชื่อว่าเรา “เดิน” ใช้เวลาเกือบ 20 นาที 555 แหม คิดว่ามันใกล้กว่านี้นี่นา

Fushimi Inari Taisha Shrine เป็นศาลเจ้าที่สำคัญ มี เสาโทริอิ (Torii) นับพันทอดตัวต่อกันยาวขึ้นไปจนถึงศาลเจ้าที่อยู่บนเขา หนึ่งมาที่นี่ 2 ครั้ง แต่ไม่เคยขึ้นไปจนถึงศาลเจ้าเลยค่ะ แค่ถ่ายรุปเสาโทเรอิก็ฟินแระ Smiley

และเหมือนกันกับทุกที่ มหาชน คนเยอะมาก ต้องรอจังหวะหน่อย
 
 

 
 

 
 

ขึ้นมาทางเหนือของเกียวโต มาเที่ยววัดที่ทุกคนต้องมา วัดคินคะคุจิ (Kinkakuj Temple) อีกหนึ่งมรดกโลกในเกียวโต ช่วงที่หนึ่งไปใบไม้แดงยังไม่พีค แต่ก็ยังสวยค่ะ
 
 


 
 

มุมมหาชนที่ถ่ายยากมาก เพราะคนเยอะอีกแล้ว วัดทองใกล้สระน้ำช่วงใบไม้เปลี่ยนสี สวยงามมีเสน่ห์นะคะ ประวัติของวัดทองหรือวัดคินคะคุจิก็น่าสนใจนะคะ หาอ่านได้เลยค่ะ มีกูเกิ้ล
ซะอย่าง สบายยย


 
 

หนึ่งไปวัด น้ำใส (Kiyomizu Temple) ด้วย แต่สิ่งที่เห็นคือมหาชนคนเยอะแยะไปหมด หมดอารมณ์ถ่ายรูป ไปที่อื่นกันดีกว่า

มาญี่ปุ่น ก็อยากเห็นเกอิชา อยากเจอเกอิชาในเกียวโต ต้องมาที่ Gion เพราะเป็นย่านที่มีร้านอาหาร ห้องน้ำชา ที่เกอิชามาให้ความบันเทิง การได้เจอเกอิชาหรือไมโกะบนถนนเป็นเรื่องของโชคค่ะ แต่รอบนี้เราโชคดีกันมากเพราะเจอหลายรอบเลย หนึ่งชอบการแต่งตัว การแต่งหน้าของเค้า มันมีที่ญี่ปุ่นเท่านั้นโดยเฉพาะในบรรยากาศแบบนี้


* เกชะ หรือที่คนไทยเรียก เกอิชา (Geisha) แปลว่า “ศิลปิน” เป็นผู้ให้ความบันเทิงทั้งด้านการแสดงฟ้อนรำ การพูดคุย สนทนา รินเหล้าให้

* ภาคตะวันตกของญี่ปุ่นรวมทั้งเกียวโตเรียก เกอิชาว่า เกโกะ (Geiko)

* ไมโกะ (Maiko) คือเกอิชาฝึกหัด การแต่งตัว แต่งหน้า และทรงผมจะต่างจากเกอิชา (แต่ถ้าเราไม่รู้ก็อาจจะแยกไม่ออก) ค่าตอบแทนของไมโกะน้อยกว่าเกอิชา

* เกอิชา และ โสเภณี หนึ่งเคยเข้าใจผิดว่าเกอิชาคือโสเภณี แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะเกอิชาไม่ขายบริการแลกเงิน แม้ว่าอาจจะนอนกับแขก และในยุคนึงมีโสเภณีเรียกตัวเองว่าเกอิชา ฟังดูงงไหมคะ

* เกอิชา ไม่แต่งงาน แต่อาจจะมีผู้ดูแลหรือเป็นภรรยาลับของชายที่ส่วนใหญ่ฐานะร่ำรวย แต่ไม่แน่ใจว่ายุคปัจจุบันโลกเปลี่ยนแล้วเรื่องนี้จะเปลี่ยนตามหรือเปล่า

สาวๆไมโกะหรือเกอิชาที่เราเจอ สังเกตปกกิโมโนสีแดง น่ารักมากๆ ชอบชุดกิโมโนผ้าไหมเค้าสวยมากกก การแต่งตัวเค้าเป็นศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นชุดซึ่งราคาสูงมาก การทำผม การแต่งหน้าขาวลงมาถึงคอ แต่ด้านหลังมีพื้นที่เปลือยไว้ตรงต้นคอ การทาปากแดงแแบบไม่เต็มริมฝีปาก เป็นศิลปะที่ตกทอดมายาวนาน เรื่องของเกอิชาเป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจมากๆ สมัยก่อนว่ากันว่าเป็นเรื่องลึกลับเลยทีเดียว เพราะเกอิชาเค้าจะมีจารีตการปฏิบัติของเค้าที่สืบทอดกันมายาวนาน อาจจะถือเป็นวัฒนธรรมเลยก็ว่าได้ หนึ่งดูสารคดีเกี่ยวกับชีวิตเกอิชา มันน่าสนใจจริงๆ
 
 

 
 
กิออน บริเวณกว้างใหญ่แต่ที่คนชอบไปเดินกันคือ Hanami-koji Street ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร ที่ราคาค่อนข้างสูง
 
 

 
 

 
 

อีกย่านที่คนนิยมมาเดินแถวกิออนคือ Shirakawa Area มีคลองชิระคะวะและริมคลองเป็นร้านอาหาร ห้องน้ำชาที่เป็นระดับไฮคลาส หนึ่งชอบที่นี่มากดูโรแมนติกดี เห็นคู่แต่งงานมาถ่ายพรีเว้ดดิ้งตั้ง 2 คู่แน่ะ

 
 

 
 
แอบถ่ายเค้ามา ขอเอามาเป็นรูปปิดแบบโรแมนติกสำหรับบล็อกนี้
 
 

 
 
ขอบคุณที่มาเที่ยวด้วยกันค่า
 
 
***สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้นำรูปภาพหรือข้อความใดๆไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต หากคุณคิดว่าเนื้อหามีประโยชน์กรุณากดปุ่ม ” share” ท้ายบล็อกหรือ redirect link มาที่เพจนี้***

adrenalinerush
About me

Deeply in love with traveling, cooking and baking. Also love to write and like to share. Join me in traveling and kitchen adventures!

YOU MIGHT ALSO LIKE

ช้อปปิ้งวัตุดิบและอุปกรณ์เบเกอรีที่ Cuoca Jiyugaoka
December 11, 2019
gelato matcha
EAT IN TOKYO กินอะไรอร่อยที่โตเกียว ตอนที่ 2.2 ขนมหวานอร่อย
June 10, 2019
Totoro choux cream
EAT IN TOKYO กินอะไรอร่อยที่โตเกียว ตอนที่ 2.1 ขนมหวานอร่อย
May 04, 2019
Eat in Tokyo กินอะไรอร่อยที่โตเกียว ตอนที่ 1
March 13, 2019
Takayama เที่ยวเมืองเก่า เดินตลาดเช้า กินเนื้อฮิดะ
Takayama เที่ยวเมืองเก่า เดินตลาดเช้า กินเนื้อฮิดะ
June 11, 2017
Japan Sakura Hunting - ตามล่าหาซากุระ 3
Japan Sakura Hunting – ตามล่าหาซากุระ 3
June 11, 2017
Hanami Festival @ Omiya Park
Hanami Festival @ Omiya Park
June 02, 2017
Gontran Cherrier, JR Nagoya Takashimaya
Gontran Cherrier ร้านเบเกอรีสไตล์ฝรั่งเศสสุดอร่อยในญี่ปุ่น
May 31, 2017
Japan Sakura hunting trip
Japan Sakura Hunting trip
May 30, 2017

1 Comments

FUFY
Reply November 25, 2015

มาช่วยตรวจคำผิดจ้า ^ ^

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *