Diabetic dessert recipes: Introduction ขนมหวานสำหรับเบาหวาน: บทนำ
พอตัดสินใจว่าจะทำเรื่อง “ขนมหวานในผู้ป่วยเบาหวาน” ก็นั่งคิดนอนคิดว่าจะทำออกมาแบบไหน เพราะหนึ่งไม่อยากแค่ทำสูตรออกแล้วให้เอาไปใช้อย่างเดียว แต่อยากส่งสารให้ทั้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือ
ฝ่ายคนทำขนม–> อยากให้ทำด้วยความเข้าใจ สามารถเลือกใช้วัตถุดิบและสามารถปรับสูตรอย่างมีความรู้
ฝ่ายคนที่เป็นเบาหวานแล้วอยากกินขนมหวาน –> ก็ควรความรู้และเข้าใจว่าจะเลือกกินขนมหวานอย่างไรให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงจนเกิดอันตรายต่อสุขภาพ
พอหวังไว้เยอะเลยเรื่องเยอะ
^_^ ดังนั้นก่อนที่จะพุ่งไปหาสูตรขนม หนึ่งขอมาที่ “บทนำ” ก่อน ซึ่งขอเน้นย้ำว่า
#มีความสำคัญมากและควรอ่านก่อนเพื่อเป็นการปูพื้นฐานและทำความเข้าใจ เพราะเรื่องขนมหวานสำหรับคนเป็นเบาหวานเป็นเรื่อง sensitive และต้องทำด้วยความระมัดระวังบนพื้นฐานความเข้าใจ ไม่เช่นนั้นอาจเป็นการไปเพิ่มโรคให้ผู้ป่วยเบาหวานอีก ในทางกลับกัน คนที่เป็นเบาหวานหรือคนดูแลก็ควรมีความรู้ เพราะห่างมีโรคเพิ่มจากเดิมจะมีปัญหาตามมาอีกมากมายเลยค่ะ
เบาหวาน คือโรคอะไร
ก่อนจะไปทำขนมให้คนเป็นเบาหวานมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าโรคเบาหวานคืออะไร
เบาหวาน คือ โรคที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้ ซึ่งอาจเกิดจากร่างกายขาดอินซูลิน (ตัวพาน้ำตาลในเลือดไปให้เนื้อเยื่อต่างๆใช้) หรือมีอินซูลินแต่อินซูลินทำงานบกพร่อง หรือตัวเนื้อเยื่อในร่างกายเองมีความผิดปกติไม่รับน้ำตาลแม้จะมีอินซูลินมามาแล้ว ผลคือทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
น้ำตาลมาจากไหน เข้ามาอยู่ในเลือดได้ยังไง
มาจากอาหารที่เรากินเข้าไปนั่นเอง อาหารที่เรากินทุกวันนี้มีคาร์โบไฮเดรตปนอยู่ไม่มากก็น้อย บางชนิดมีคาร์บสูง เช่น แป้ง น้ำตาล ขนมปัง มัน เผือก ข้าว ฯลฯ บางชนิดมีคาร์บน้อย เช่น เนื้อสัตว์ คาร์บพวกนี้เมื่อกินเข้าไปจะถูกย่อยกลายเป็นน้ำตาล (กลูโคส)แล้วถูกดูดซึมจากผนังลำไส้เข้าสู่เส้นเลือดซึ่งพอสูงถึงระดับหนึ่งจะไปกระตุ้นตับอ่อนสร้างอินซูลินมาพาน้ำตาลออกจากเส้นเลือดไปให้เซลล์ในเนื้อเยื่อต่างๆนำไปใช้ ในคนปกติระดับน้ำตาลในเลือดจึงไม่สูง
ร่างกายใช้น้ำตาลทำอะไร
น้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานหลักแหล่งหนึ่งของร่างกาย (อีกแหล่งคือจากไขมัน) ร่างกายเราต้องการพลังงานอย่างต่อเนื่อง ทราบไหมคะว่าลูกค้ารายใหญ่ของน้ำตาลในร่างกายเราคือ สมองและกล้ามเนื้อ ทุกครั้งที่กล้ามเนื้อขยับต้องใช้พลังงาน ทุกกิจกรรมที่เรา ไม่ทำงาน ทำอาหาร ทำขนม วิ่ง ว่ายน้ำ ต้องการพลังงาน
น้ำตาลในเลือดสูงทำไมต้องซีเรียส
หลายคนอาจจะรู้สึกว่าแค่น้ำตาลในเลือดสูงก็ไม่น่ามีอะไรหรือเปล่า แต่ความจริงแล้วพลังการทำลายล้างเธอสูงมาก เรียกได้ว่า
#หวานพิฆาต แถมเธอทำแบบเงียบๆ ช้าๆ ไม่กระโตกกระตากอีก
#เธอคือภัยเงียบ
โดยปกติในเลือดเราจะมีกลูโคสหรือน้ำตาลอยู่จำนวนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา มากบ้าง น้อยบ้างขึ้นอยู่กับว่าเป็นก่อนหรือหลังมื้ออาหาร แต่ระดับน้ำตาลในเลือดจะไม่สูงลอยตลอดเวลาเพราะร่างกายเรามีระบบควบคุมอย่างดี ตัวที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลักๆคือ
#อินซูลิน (insulin) ที่สร้างมาจากตับอ่อนนั่นเอง
ในคนเป็นเบาหวานเกิดความผิดปกติขึ้น ทำให้น้ำตาลค้างอยู่ในหลอดเลือดเป็นเวลานาน ยิ่งเรากินอาหารที่มีคาร์บสูง น้ำตาลก็จะมากสะสมขึ้นไปอีก #น้ำตาลปริมาณสูงๆที่อยู่ในหลอดเลือดนานๆจะทำให้ผนังหลอดเลือดเสียหายและกระตุ้นให้ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ ผนังหลอดเลือดจะหนาและแข็งขึ้นจากการที่มีไขมัน แคลเซียมและอื่นๆมาเกาะ –> หลอดเลือดตีบแคบลง –>อวัยวะนั้นขาดเลือด
เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆว่าเส้นเลือดก็เหมือนแม่น้ำที่แตกเป็นเส้นสายเล็กๆ ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ น้ำก็คือเลือดที่ไหลเวียนพาสารอาหารต่างๆ (เช่น น้ำตาล) ไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ถ้าแม่น้ำลำคลองเต็มไปด้วยเศษขยะ ก็ทำให้ตื้นเขิน น้ำไหลเวียนไม่สะดวก ยิ่งถ้าคลองเล็กๆ น้ำอาจจะแห้งไปเลย เมื่อเลือดไปเลี้ยงไม่พอ เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆก็เกิดปัญหาได้ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เช่น
ถ้าเส้นเลือดในสมองตีบ – อัมพฤกษ์หรืออัมพาต
เส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ – กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
เส้นเลือดเลี้ยงตาตีบ – ตามัว
เส้นเลือดเลี้ยงไตตีบ- ไตทำงานผิดปกติและอาจเกิดไตวาย
เส้นเลือดเลี้ยงปลายมือ ปลายเท้าตีบ -ถ้าเป็นมากทำให้อวัยวะส่วนนั้นขาดออกซิเจน ตายและเน่า เสี่ยงต่อการติดเชื้อ บางคนที่เป็นรุนแรงอาจต้องตัดขา
เส้นเลือดเลี้ยงปลายประสาทตีบ – ชาปลายมือปลายเท้า
เรียกได้ว่า
#เบาหวานและโรคหลอดเลือดเป็นญาติสนิทที่มักจะมาด้วยกัน
นอกจากนี้เบาหวานยังเป็นเพื่อนสนิทกับ ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูงและโรคอ้วน ชอบชวนมาอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ยังไม่หมด เบาหวานยังทำให้
#ภูมิต้านทานของร่างกายต่ำ เวลาป่วยแล้วหายช้า ติดเชื้อนิดหน่อยก็อาจบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ได้
#น่ากลัวใช่ไหมคะ ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ผลเสียต่างๆที่ว่าเป็นผลเสียระยะยาว กว่าจะเห็นผลชัดเจนใช้เวลานานแถมไม่สามารถบอกได้ชัดๆว่าจะเป็นอะไรเมื่อไหร่ ทำให้คนเป็นเบาหวานหลายคนชะล่าใจ นอกจากผลเสียระยะยาวแล้ว
#ผลเสียแบบเฉียบพลันก็มี เรียกว่า Hyperosmolar Hyperglycemic Nonketotic Syndrome (HHNS) ถือเป็นภาวะฉุกเฉินต้องรีบรักษาเพราะอาจทำให้โคม่าได้ แต่ภาวะนี้พบได้ไม่บ่อยและมักพบร่วมกับการเจ็บป่วยอย่างอื่นเช่นติดเชื้อ
คนป็นเบาหวานกินขนมหวานได้ไหม
กินได้ค่ะ…อาราย อุตส่าห์เขียนภาวะแทรกซ้อนเยอะแยะมากมายอย่างน่ากลัว ยังจะกินของหวานได้อีก หนึ่งไม่ได้ชักชวนให้คนเป็นเบาหวานกินขนมหวานนะคะ แต่บอกทางเลือกให้ว่าถ้าอยากกินก็มีทาง แต่ทางที่ว่ามีความพิเศษ…..
#ต้องกินอย่างมีความรู้และระมัดระวัง ใช้คำว่า “ต้อง” เพราะสำคัญมากๆ
ดัชนีไกลซิมิค(Glycemic index หรือ GI ) คืออะไร
คือการวัดดัชนีน้ำตาลในอาหารที่เรารับประทาน พูดง่ายคือวัดว่าคาร์บที่เรากินเข้าไปเมื่อถูกย่อยและถูกดูดซึมว่าจะทำให้มีปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นแค่ไหน โดยตัวเลขจะมีตั้งแต่ 0-100 ยิ่งตัวเลขมากแสดงว่าคาร์บนั้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำตาลกลูโคสซึ่งมีค่า GI เท่ากับ 100
ดัชนีไกลซิมิค(Glycemic index หรือ GI ) มีประโยชน์อย่างไร
ใช้เป็นไกด์ไลน์ในการเลือกกินคาร์บและอาหารในผู้ที่เป็นเบาหวานเพื่อให้สามารถควบคุมสภาวะของระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ นักโภชนาการแบ่งกลุ่มอาหารซึ่งเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตตามค่า Gl ออกเป็น 3 กลุ่มคือ
- อาหารที่มีค่า GI ต่ำ (GI น้อยกว่าเท่ากับ 55) คาร์บที่อยู่ในอาหารพวกนี้จะถูกย่อยอย่างช้าๆ ทำให้น้ำตาลค่อยๆถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดช้าๆ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นช้าและไม่มาก เช่น ถั่วชนิดต่างๆ ผักใบเขียว สตรอเบอรี แอปเปิ้ล มะเขือเทศ อาหารที่มีเส้นใยสูงเช่น เมล็ดธัญพืช
- อาหารที่มีค่า GI ปานกลาง (GI 56-69 ) เช่น อาหารประเภทเส้น ( pasta ) ถั่วคั่ว ถั่วฝักเขียว มันเทศ น้ำส้มคั้น บลูเบอรี่ ข้าวโพดหวาน whole wheat และข้าวกล้อง น้ำผึ้ง
- อาหารที่มีค่า Gl สูง (GI มากกว่าหรือเท่ากับ 70) คาร์บที่อยู่ในอาหารพวกนี้จะถูกย่อยเร็วและถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดเร็วมาก ผลคือน้ำตาลในกระแสเลือดขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ได้แก่ น้ำตาลทราย แป้งขัดขาว ขนมปังขาว ข้าวขาว มันฝรั่งอบ มันฝรั่งทอด คอร์นเฟลค แครอท ผลไม้อบแห้ง กล้วย แตงโม
**GI เป็นแค่หนึ่งในตัวช่วยในการเลือกรับประทานอาหารเท่านั้น ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง เช่นปริมาณที่กิน การนำอาหารนั้นมาทำอาหาร ขั้นตอนต่างๆอาจะปลี่ยนค่า GI เช่น การต้ม การทอด การบด นอกจากนี้มีข้อสังเกตุว่า
#ผลไม้ยิ่งสุก ค่า GI ยิ่งสูงขึ้น ในขณะที่
#อาหารที่มีปริมาณไขมันหรือไฟเบอร์สูงจะมีค่าGI ต่ำ
**ใครที่อยากรู้ว่าอาหารอะไรมีค่า GI เท่าไหร่สามารถเสิรช์หาใน google ได้เลย
เป็นเบาหวานกินขนมหวานอย่างไรให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ
1. เลือกกินอย่างเหมาะสม การจะเลือกได้ก็ต้องมีความรู้ คือ รู้ว่าเรากินอะไร(ขนมหวานนั้นมีส่วนผสมอะไร) และรู้ด้วยว่าเราควรกินอะไร เรื่องนี้รายละเอียดเยอะมากสามารถแยกมาเขียนอีกเรื่องได้เลย แต่หนึ่งจะสรุปแบบง่ายๆคือ
- หลีกเลี่ยงขนมหวานที่ทำจากวัตถุดิบที่มีค่า GI สูง เช่น น้ำตาลทราย กลูโคส (แบะแซ) ลูกอม คาราเมล แป้งขัดขาวทุกชนิด ผลไม้อบแห้งทุกชนิด ผลไม้สดที่มีรสหวานจัดเช่น มะม่วงสุก ทุเรียน ลำไย เงาะ
- เลือกกินขนมที่ทำจากวัตถุดิบที่มีค่า GI ต่ำหรือปานกลาง เช่น แป้งโฮลวีท almond meal ไข่ขาว นมถั่วเหลืองที่ไม่หวาน โยเกิร์ตไขมันต่ำที่ไม่หวาน นมจืดไขมันต่ำ ผลไม้สดตระกูลเบอร์รี่โดยเฉพาะสตรอเบอร์รี เลมอนหรือมะนาว และสารให้ความหวาน(ซึ่งเดี๋ยวมาทำความรู้จักอย่างละเอียดในบทต่อไป)
- เลือกกินไขมันดีในปริมาณที่ไม่มาก ไขมันในเบเกอรีเป็นของคู่กันเพราะช่วยทั้งเรื่องโครงสร้างและรสชาติ ไขมันในขนมหวานอยู่ในหลายรูปแบบเช่น ไข่แดง น้ำมัน เนย ครีม นม ถั่ว ชอกโกแลตที่มี cocoa butter ชีส (โปรดสังเกตว่ามีแต่ของอร่อย ^_^) เบาหวานมักจะพาโรคอื่นๆมาด้วย ที่เป็นคู่หูไปด้วยกันตลอดคือ “ไขมันในเลือดสูง” ไขมันที่ว่าเป็นไขมันแบบร้าย ที่สามารถไปเกาะตามผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบ ดังนั้น #คนที่เป็นเบาหวานควรเลือกกินไขมันด้วยความระมัดระวัง จริงๆแล้วในคนปกติก็ควรระวัง แต่เบาหวานต้องระวังให้มากขึ้น การกินไขมันดีจะช่วยไปลดระดับไขมันร้ายในร่างกายได้ ตัวอย่างไขมันดีในขนมหวานเช่น ถั่วเปลือกแข็งต่างๆ (อัลมอนด์ เฮเซลนัท พิสตาชิโอ) น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก #โปรดระวัง #แม้จะเป็นไขมันดีแต่กินเยอะเกินไปก็อ้วนได้
2. กินในปริมาณที่ไม่มาก ไม่ใช่พอเห็นว่า GI ต่ำเลยกระหน่ำกินเข้าไปอย่างเยอะ ซึ่งสุดท้ายก็ไปทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น นอกจากนี้วัตถุดิบบางอย่างมีค่า GI ต่ำเนื่องจากมีไขมันสูง งานนี้
#ก็อ้วนสิคะ การควบุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนขึ้นสำคัญมากสำหรับคนที่เป็นเบาหวานเพราะความอ้วนทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดยากแล้วยังไปเชื้อเชิญญาติสนิทโรคอื่นให้มาเร็วขึ้น ทั้งความดันสูง โรคหัวใจอีก
#ชุดใหญ่เลย หลายคนอาจจะสงสัยว่า กินเท่าไหร่ที่เรียกว่าเหมาะสม ซึ่งบอกตรงๆว่าตอบยากจริงๆค่ะ เพราะแต่ละคนมีการเผาผลาญอาหารต่างกัน ต่างเพศ ต่างวัย ต่างอายุ เป็นเบาหวานรุนแรงต่างกัน บางคนมีภาวะแทรกซ้อนอื่นหลายอย่าง บางคนยังไม่มีภาวะแทรกซ้อน จึงไม่มีตัวเลขให้เป๊ะๆสำหรับทุกคนเพราะแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ง่ายที่สุดคือ
#กินให้น้อยที่สุด ขนมหวานไม่ใช่อาหารหลัก กินเพื่อความสุขใจ ค่อยๆละเลียดกินสบายๆ น้อยๆ ดีกว่าค่ะ ถ้าใครอยากกินขนมมากขึ้นใช้การลดปริมาณอาหารหลักในมื้อนั้นจะช่วยควบคุมน้ำหนักได้ในระดับหนึ่ง
3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังช่วยกระตุ้นให้เนื้อเยื่อต่างๆนำเอาน้ำตาลไปใช้ได้ดีขึ้นนอกจากนี้ยังมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย อย่ารอช้า มาออกกำลังกายกัน
4. หมั่นตรวจค่าน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยทำให้เราระมัดระวังมากขึ้น บางคนมีเครื่องตรวจวัดที่บ้าน ตรวจเองไม่ยาก(แต่อาจจะหวาดเสียวหน่อย) ซึ่งสะดวกมาก หรือบางคนไปตรวจที่ รพ ก็ว่ากันไป อย่าลืมไปตามหมอนัดนะคะ
ทั้ง 4 ข้อนี้ควรปฏิบัติควบคู่กันไปนะคะ ถ้าทำได้รับรองว่าน้ำตาลในเลือดไม่สูงกวนใจแน่ๆค่ะ
ปล โปรดอ่าน
- #ทริคเล็กๆน้อยในการกิน ถ้าจำเป็นต้องกินขนมที่มีค่าGIสูง แบบว่าอยากกินจริงๆ #สามารถกินได้ในปริมาณน้อยๆ แล้วกินอาหารอื่นที่มีค่า GI ต่ำที่มีกากอาหารเยอะๆ เช่น ผัก หรือเบอร์รี่สดควบคู่กันหรือในมื้อเดียวกัน ตัวอย่างการกิน เช่น อยากกินขนมหวาน GI สูงหลังอาหารเที่ยง อาหารเที่ยงมื้อนั้นควรเพิ่มผักใบเขียวให้มากขึ้นและลดปริมาณคาร์บในอาหารให้น้อยลง(ลดข้าวลง) หรืออยากกินขนมหวาน GI สูงระหว่างมื้ออาหาร ก็กินขนมหวานคู่กับผลไม้สดตระกูลเบอร์รี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สตรอเบอร์รี จะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นช้าลง
- ไกด์ไลน์ข้างบนเป็นหลักทั่วๆไปเท่านั้นนะคะ แต่ละคนเป็นเบาหวานในระดับที่ต่างกัน อายุต่าง มีโรคแทรกซ้อนต่างกัน ในคนที่มีภาวะแทรกซ้อนหลายโรคควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าควรกินและควรงดอะไร
ขนมหวานสำหรับคนเป็นเบาหวานควรเป็นแบบไหน
สำหรับข้อนี้ เป็น คอนเซปต์ในการทำขนมหวานสำหรับคนเป็นเบาหวานตามแบบฉบับของหนึ่ง ใครอยากเพิ่มเติมมากกว่านี้ทำได้เลยค่า ถ้าแบบของหนึ่งคือ
- เลือกใช้วัตถุดิบที่ปลอดภัย หนึ่งจะเลี่ยงการเติมกลิ่นหรือสีผสมอาหารหากไม่จำเป็น
- กินแล้วไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงเร็วและสูงมาก
- ไขมันไม่สูงมากและเลือกใช้ไขมันที่มีประโยชน์
- มีรสชาติที่อร่อย รสไม่ผิดเพี้ยนไปจนกินแล้วรู้สึกแปลก
- แคลอรีโดยรวมไม่สูงมาก
- สูตรขนมที่จะลงต่อไปจะมีการใช้วัตถุดิบหลากหลาย สูตรขนมแต่ละสูตรอาจจะไม่เหมาะกับทุกคน เวลาลงสูตรหนึ่งจะพยายามบอกว่าทำไมถึงใช้วัตถุดิบนี้ สามารถใช้อะไรแทนได้ และจะมีการคำนวณพลังงานต่อสูตรให้
- แม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็น “ขนมสำหรับคนเป็นเบาหวาน” ไม่ได้หมายความว่าคนเป็นเบาหวานจะกินได้เท่าไหร่ก็ได้ ต้องกินอย่างมีสตินะคะ เพราะแม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนสูตรแล้วแต่ก็ยังถือว่ามีคาร์บและ/หรือ ไขมันในปริมาณที่ค่อนข้างสูง ดังนั้น #อย่ากินเยอะเกินไป
- หนึ่งไม่สนับสนุนให้กินขนมหวานบ่อยนะคะ แม้จะได้ชื่อว่าสูตรสำหรับคนเป็นเบาหวาน การกินหวานบ่อยๆ จะทำให้รู้สึกติด อยากกินอยู่ร่ำไปและอาจเผลอกินมากกว่าที่ควรจะเป็น ผลคือ น้ำหนักขึ้น อ้วน และระดับน้ำตาลในเลือดสูง
ทำขนมสำหรับคนเป็นเบาหวาน ควรรู้อะไรและควรทำอะไรบ้าง
สำหรับใครที่อยากทำขนมหวานสำหรับคนเป็นเบาหวานไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ตัวเองป่วยเอง ต้องดูแลพ่อแม่หรือญาติที่เป็นหรือแม้แต่ใครที่สนใจอยากทำขาย มีสิ่งที่ควรรู้และควรทำคือ
- รู้และเข้าใจโรคเบาหวานรวมทั้งภาวะแทรกซ้อน จะได้ตระหนักและระมัดระมังในการเลือกวัตุดิบ
- รู้และเลือกวัตถุดิบมาใช้ แน่นอนว่าวัตุดิบจะแตกต่างออกไปจากสูตรปกติ ราคาอาจสูงกว่า เรื่องนี้มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ แต่ไกด์ไลน์ง่ายๆคือ ดูจากค่า GI โดยเลือกวัตถดิบที่มีค่า GI ต่ำถึงปานกลาง และการเลือกใช้ไขมันที่มีประโยชน์มาใช้ เรื่องวัตถุดิบค่อยๆเรียนรู้ไปพร้อมสูตรนะคะ
- ถ้าใครทำขาย การบอกว่าในสูตรมีส่วนผสมอะไรปริมาณเท่าไหร่ (บอกเป็นเปอร์เซนต์ก็ได้) และมีแคลอรีเท่าไหร่จะดีมาก เพราะจะช่วยให้คนกินตัดสินใจได้ว่าจะมากน้อยแค่ไหน
จบแล้ว! ถึงตอนนี้มีใครรู้สึกงงไหมคะ อยากเน้นอีกครั้งว่ามันสำคัญมากและอยากให้ทำความเข้าใจกันก่อนที่จะไปที่สูตรกันต่อ ถ้าสงสัยถามมาได้เลยนะคะ แล้วรอพบกับขนมสำหรับคนเป็นเบาหวานสูตรที่ 1 เร็วๆนี้ค่า
^_^
Illustration credit: www.Vecteezy.com
FUFY
May 6, 2018มีประโยชน์มากๆ ชอบๆ
JJ
September 18, 2018ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีดีนะคะ