ดาราเทวี
“ดาราเทวี” ได้ยินชื่อนี้ปุ้บหลายๆคนอาจจะคิดถึง ขนมกลมๆหน้าตาน่ารักอย่าง “macarons” ที่ของดาราเทวีถือว่าขายดีอันดับ 1 ของบ้านเรา บางคนอาจจะคิดถึงโรงแรม สวย หรูหรา ที่มีความเฉพาะตัวสูง หนึ่งอยากบอกว่า ได้ไปสัมผัสมาทั้งสองสิ่งแล้ว เพราะได้มีโอกาสร่วมกิจกรรม We Love Betagro Ep.The passion of Macaron คอร์สเรียนทำ Macaron ที่ดาราเทวีและพักที่นี่ด้วย ดีใจมากมายเพราะถูกสุ่มเลือกจากการเล่นเกมส์ (กรี้ดดด) ปกติหนึ่งไม่มีดวงด้านนี้เลย ถือเป็นประสบการณ์ดีๆ ที่อยากบันทึกไว้ ^_^
บล็อกเอนทรีนี้อยากบันทึกเรื่องราวของโรงแรมผ่านมุมมองของตัวเอง ดาราเทวีนอกจากจะสวยงามแล้ว บริการยังดีเลิศระดับโลก การันตีด้วยรางวัลมากมาย หนึ่งถ่ายรูปมาไม่เยอะเพราะไม่สะดวกหลายอย่าง ได้ภาพมาแบบกล้อมแกล้ม ถือเป็นการบันทึกฉบับย่อๆ นะคะ ใครสนใจเข้าไปดูข้อมูลโรงแรมได้ที่เวบไซต์ มีรูปสวยๆ ข้อมูลดีๆเยอะเลยค่า เข้าชมเวบไซต์ของดาราเทวี คลิกที่นี่
กรุ้ปเรารวมทีมงานน่าจะ 20 คนได้ เดินทางมาถึงเชียงใหม่ตอนเที่ยง แวะไปทานอาหารเมืองที่ “เฮือนใจ๋ยอง” ก่อนจะมาต่อขนมหวานที่โรงแรมที่ Kasalong Shop ซึ่งอยู่ด้านหน้าของโรงแรม เรียกว่าจัดอาหารคาวเสร็จก็ตามด้วยขนมหวานเลย เราไปถึงช่วงบ่ายสองนิดๆ มีแขกนั่งอยู่ในร้านก่อนแล้วพอสมควร พอมีทีมเราเข้าไปก็เต็มร้านพอดีค่ะ ^_^ สำรวจด้วยสายตาอย่างรวดเร็วว่าร้านเค้าจัดโต๊ะไว้ทั้งในห้องปรับอากาศและส่วนที่รับลมธรรมชาติใต้ต้นกาสะลอง ที่มาของชื่อ Kasalong Shop นั่นเอง แต่อากาศยามบ่ายแก่ๆ แดดแรงๆแบบนี้ขอนั่งในห้องปรับอากาศดีกว่าค่ะ ไลน์ขนมเค้าอยู่ด้านหน้า ส่วนเครื่องดื่มมีพนักงานนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
Kasalong Dessert Buffet
ราคา 425++ รวมเครื่องดื่มร้อน (ชาและกาแฟ)
เวลา 13:00-18:00
ขนมหวานทุกชนิด ทั้ง macarons, เค้ก ต่างๆ, puff & pastries, คานาเป้และแซนวิชรวมทั้งไอศครีม
โต๊ะในห้องปรับอากาศ
ไลน์ขนมเค้า มีไลน์เดียวยาว ขนมจะเป็นชิ้นเล็กๆ หยิบกินแบบพอดีคำ ยกเว้นมากาฮงที่เป็นขนาดปกติ
มาดูว่าขนมเค้าวันที่หนึ่งไปมีอะไรบ้าง ด้านหน้าสุดเป็นเพสทรี สโคน มีครัวซองต์และอื่นๆอีก
หัวแถวเป็นข้าวเหนียวมะม่วง ขนมไทยหนึ่งเดียวที่มี อร่อยดีค่ะ มะม่วงหอม หวาน ข้าวเหนียวมูนนุ่มๆ
ภาพนี้ทั้งหมดเป็นของคาวค่ะ พัฟกลมๆที่เห็นไส้เป็นของคาว หนึ่งไม่ได้ชิมทุกชิ้น เจ้ากลมๆสีแดงๆอร่อยดี
ชูครีมค่า ไม่พลาดเพราะเป็นของโปรด แต่ยังไม่ได้ใจนักเพราะคิดว่าจะได้กินไส้เต็มๆ ปรากฏว่ามีไส้แค่ลูกเล็กๆด้านบน น้องกลมอ้วนด้านล่างไม่มีไส้ T_T
ชิ้นนี้ตั้งใจจะหยิบแต่…ลืมม จบข่าวค่ะ – -”
อีกอย่างที่น่าชิมแต่ไม่ได้ชิม
มากาฮงค่า มีหลากรส ขนาดปกติ หยิบได้ตามชอบเลย อยากได้รสไหน
รสชาไทย หมายตาไว้เพราะเราจะมี work shop กันพรุ่งนี้
น่ารักไหมคะ ตัวฐานเป็นเชลล์ของมากาฮง สีสันน่ากินแบบนี้ไม่พลาดค่ะ ^_^
ปลายแถวอีกด้านเป็นทาร์ต หนึ่งไม่ได้หยิบ จริงๆมีขนมหลายอย่างที่หนึ่งไม่ได้ถ่ายรูป
ขนมมากมายที่ถ่ายรูปมา หนึ่งชิมแค่นี้ค่ะ ทำไมกินน้อยจังใช่ไหมคะ….เหตุเพราะเพิ่งอิ่มข้าวเหนียวอาหารเมืองมาหยกๆ หนึ่งเลยเลือกหยิบแต่ขนมที่ชอบกินและขนมที่อยากลองเท่านั้น เห็นหนึ่งอบเบเกอรีบ่อยๆแต่หนึ่งมีความชอบในการกินเบเกอรีที่ค่อนข้างเฉพาะตัวนะคะ ความเห็นเป็นความเห็นส่วนตัวนะค้า
เริ่มที่ครัวซองต์ ต้องหยิบมาชิมเพราะว่าชอบกินมาก ตอนแรกคิดว่าเป็น Plain croissant ปรากฏว่ามีไส้ด้วย กัดง่ำๆ แป้งด้านนอกกรอบแต่เนื้อขนมนุ่มเหนียว เต็มไปด้วยไส้รสครีมๆที่ไม่หวาน แต่บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร จริงๆ รสโดยรวมอร่อยแต่หนึ่งชอบกินแบบไม่มีไส้มากกว่า
ตามด้วยชิ้นนี้เลย ผ่าครึ่งให้ดู ฐานเป็นเชลล์มากาฮงรสชอกโกแลต ส่วนเจ้าสีชมพูสดๆเป็นราสพ์เบอร์รีมูสนุ่มๆ หอม กินด้วยกันแล้วอร่อย สดชื่น ส่วนชอกโกแลตโดมและบราวนี รสชาติโอเคเลยค่ะ
มาชิมไอศครีมบ้าง มี 2 รสให้เลือกคือ รสราสพ์เบอร์รี และ รสกะทิ ตักมาชิม 2 รสเลยค่ะ ราสพ์เบอร์รีหอมอร่อย ส่วนกะทิรสแปลกไปจากกะทิที่เราคุ้นชินกันนะคะ เพราะใช้น้ำตาลมะพร้าวด้วย กลิ่นชัดเจน รสออกไทยที่แปลกออกไปอีกแบบ อร่อยไปอีกแบบค่ะ
เครื่องดื่มร้อนหนึ่งสั่งชาขิง รสเข้ม หอมๆ ใส่ขิงสดมาด้วยเลย
ทานขนมหวานเสร็จเข้าห้องพักกันค่า มีบริการรถบักกี้รับจากกาสะลองเข้าไปที่ล้อบบี้ ตอนนั่งรถเข้าไปรู้สึกเหมือนกำลังหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ย้อนอดีตเข้าไปอยู่ในเมืองโบราณในล้านนาเลยค่ะ เพราะอาคาร สิ่งก่อสร้างในโรงแรมชวนให้คิดถึงวังและวัดโบราณของทางเหนือ แม้แต่ถนนเค้ายังทำแบบถนนโบราณ แต่นั่งรถบักกี้แล้วกระเด้งกระดอนพอสมควรเลย
ไม่มีรูปทางเข้าโรงแรมเลย ใช้รูปนี้แทนนะคะ ด้านหลังที่เห็นคืออาคารล้อบบี้ ทีมีห้องอาหารด้วย ตัวโรงแรมใหญ่มาก พื้นที่กว่า 150 ไร่ ถูกออกแบบมาอย่างดีและสวยงามมากทั้งด้านสถาปัตยกรรมที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะล้านนาและตัวแลนสเคปที่สวยด้วย รถบักกี้วิ่งมาส่งที่ล้อบบี้ที่ยกสูงขึ้นจากระดับพื้นเหมือนตึกสองชั้น
หนึ่งได้ห้องเป็น colonial Suite อยู่ด้านหลังล้อบบี้นี่เอง พนักงานที่นี่ต้องขอชื่นชมว่าถูกฝึกมาดีมากค่ะ คล่องแคล่วและใจบริการเต็มร้อย แม้ห้องพักจะอยู่ไม่ไกลแต่ต้องนั่งบักกี้ไปที่ห้องเพราะมีกระเป๋า พนักงานที่ไปส่งคือคนที่ทำเช็คอินให้เรานั่นเอง พูดจาฉะฉานคล่องแคล่วและสุภาพมาก ระหว่างขับบักกี้ พนักงานจะแนะนำโรงแรมให้ฟังด้วย ห้องพักเราอยู่ในอาคารที่สร้างแบบโคโลเนียล เป็นอาคาร 2 ชั้น แต่ถูกออกแบบมาให้เพดานในแต่ละชั้นสูงถึง 4 เมตร ทำให้ห้องดูโอ่อ่า มาถึงห้องพนักงานอธิบายรายละเอียดและแนะนำทุกอย่างในห้องอย่างคล่องแคล่วก่อนจากไป ช่วงนี้เป็น free time หรือเวลาอิสระก่อนเวลาอาหารเย็น หนึ่งไม่กังวลเลยว่าจะเบื่อ เพราะมีอะไรให้ทำเยอะเลยค่ะ
อันดับแรก สำรวจห้องก่อนเลย ห้องพักหนึ่งเป็นห้อง suites เพดานสูงตกแต่งแบบนี้หนึ่งชอบเลย (กรี้ด) การตกแต่งห้องไม่ใช่แบบล้านนาจ๋า ค่อนไปทางคลาสสิค แต่มีกลิ่นอายไทยที่นักออกแบบสอดแทรกไว้ในแต่ละจุด
โถงทางเดินเข้าไปถึงห้องนั่งเล่น กระเบื้องกับไม้ฉลุรับกันมากๆ ข้าวของทุกชิ้นดูลงตัว
มาดูห้องนอนบ้างนะคะ ห้องนอนไม่ใหญ่มาก เป็นสองเตียง
ประตูไม้ฉลุที่เห็นกั้นห้องนอนและห้องน้ำเพิ่มความเป็นส่วนตัว หรือจะเปิดให้เชื่อมต่อกันก็ได้
ค่อย ค่อย เปิดประตูไปสำรวจห้องน้ำกัน ^_^
ห้องน้ำเค้าขนาดใหญ่พอๆกับหรืออาจจะมากกว่าห้องน้ำอีก แบ่งออกเป็นสัดส่วนชัดเจน มีอ่างจากุซซีขนาดใหญ่ พร้อมเกลือขัดผิวหอมๆให้ด้วย กรี้ดดด ไม่พลาดแน่นอน หนึ่งชอบนอนแช่น้ำ อิอิ
สำรวจห้องอย่างรวดเร็วเสร็จเรียบร้อย หนึ่งและฟูฟี บั้ดดี้(สุดซ่า) ต้องมาวางแผนกันต่อว่าจะทำอะไรก่อนช่วงเวลาอาหารเย็น ฟังที่น้องพนักงานแนะนำกิจกรรมคร่าวๆ บวกกับอ่านในแผ่นพับแนะนำในห้องพัก มาดูว่าโรงแรมมีกิจกรรมอะไรให้ทำบ้างในช่วงเวลานี้
– นั่งรถม้าชมโรงแรม
– ปั่นจักรายานชมโรงแรม
– ว่ายน้ำ
– ฟิตเนส
– ดูหนัง (โรงแรมมีแผ่นหนังให้บริการ)
– สปา
ทุกบริการยกเว้นสปา ไม่ต้องจ่ายค่าบริการ แต่รถม้าปิดให้บริการตอน 4 โมงเย็น หลังจากบวกลบคูณหารเรื่องเวลาแล้ว หนึ่งและฟูฟีบั้ดดี้เลยตัดสินใจทำ 2 กิจกรรมคือ ปั่นจักรยานและว่ายน้ำ (แล้วกัน)
จักรยานยืมได้ที่ฟิตเนส ปั่นได้เฉพาะในเขตโรงแรมเท่านั้น แต่ไม่ต้องกังวลเพราะโรงแรมมีพื้นที่ให้มากพอ
ไปสำรวจโรงแรมกับหนึ่งค่ะ ขอสารภาพว่าไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเลย แต่เหมือนเราอยู่ในหมู่บ้าน หรือเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง แต่เป็นเมืองโบราณนะคะ ระหว่างปั่นจักรยานจะเห็นพนักงานใส่ชุดพื้นเมือง เดินบ้าง ขับรถบักกี้บ้าง สวนกันเองในกลุ่มบ้าง ไม่เหงา ไม่น่ากลัว
อาคารสปาของเค้า อ่านเจอมาว่าได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชวังในมัณฑะเลย์ อ่านเจอมาอีกว่าสปาเค้าขึ้นชื่อด้วย หนึ่งชอบนวดมาก อยากลอง แต่คิดว่าเวลาคงไม่พอ
ปั่นต่อไปทางโซนวิลลา โซนนี้จะเป็นโซนที่ค่อนข้างส่วนตัวแต่เราปั่นจักรยานเข้าไปได้ โซนนี้ห้องพักเป็นบ้าน 2 ชั้น มีรั้วรอบขอบชิดเหมือนบ้านขุนนางหรือคหบดีสมัยก่อนเลย บางหลังมีทุ่งนาข้าวรายรอบตัวบ้านด้วย
ปั่นๆอยู่ก็งง อารมณ์เหมือนหลงทาง แต่จริงๆไม่หลงหรอกค่ะ ระหว่างทางเจอพนักงานหลายคนเค้ายิ้มรับทักทาย หน้าตาแจ่มใส
ปั่นจักรยานเหงื่ออกแล้ว ไปว่ายน้ำกันค่ะ หนึ่งเตรียมชุดว่ายน้ำมาด้วย สระว่ายน้ำอยู่หลังห้องเอง เป็นสระขนาดใหญ่มีหลายระดับความลึกตั้งแต่ 1 เมตร ถึง 1.6 เมตร ความยาวสูงสุดสระ 50 เมตร มีส่วนที่เป็นน้ำวนเล็กๆด้วย จะว่ายขำๆหรือว่ายจริงจังได้หมด หนึ่งว่ายกึ่งจริงจังค่ะ แต่บัดดี้นางว่ายราวกับจะฝึกไปแข่งโอลิมปิก 555 นินทาเพื่อน
สระว่ายน้ำเค้ามี life guard คอยให้ความช่วยเหลือและดูแลเรื่องความปลอดภัยให้ ไปว่ายน้ำคนเดียวได้ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ มาตรฐานสูงจริงๆ
ว่ายน้ำเสร็จ ไปดินเนอร์กันค่ะ เราทานอาหารไทยที่ห้องอาหาร Le Grand Lanna หนึ่งเคยมาทานอาหารที่ห้องอาหารนี้เมื่อซัก 7-8 ปีก่อน professor ชาวฝรั่งเศสพามาเลี้ยงข้าว จำได้ว่าอะลังการมากๆ รอบนี้มาซ้ำ ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย
ห้องอาหารตกแต่งแบบไทยเหนือ มีดอกไม้ไทยๆจัดไว้ที่โต๊ะสวยงาม แต่เค้าจะยกออกตอนเสิร์ฟอาหาร อาหารเป็นอาหารเหนือ แต่เสิร์ฟแบบฝรั่ง คือ มาทีละจาน และจบที่ขนมหวาน แต่ละคนมีเซ็ทของตัวเอง ไม่แชร์กัน
มาชุดแรก ออร์เดิร์ฟเมือง เห็นแค่จานแรกหนึ่งอิ่มรอเลยค่ะ คือจะเยอะไปไหน ให้มาแบบจัดเต็มมาก ลาบเมือง น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู ไส้อั่ว หมูทอด แหนมทอดและไม่ทอด หมูยออีก จะไม่อิ่มได้ไงค้า เห็นเป็นอาหารในโรงแรมหรู แต่รสชาติเค้าอร่อยแบบพื้นบ้านเลยค่ะ น้ำพริกหนุ่มอร่อยมากกก รสจัดจ้าน หนึ่งชอบ
ตามด้วยซุปไก่ฉีกเนื้อนุ่มๆ ที่ให้เครื่องมาให้ปรุงเอง ซดแล้วสบายท้อง
จานหลักแล้ว เห็นแล้วสะเทือนใจ(เพราะอิ่มตั้งแต่ออร์เดิร์ฟแระ 555) เซ็ทนี้มีห่อหมกปลา ผัดยอดมะระ แกงฮังเลและผัดไก่ พร้อมข้าวเหนียวใส่กระติ๊บเงินอย่างงามดูเลอค่ามากๆ
ระหว่างรับประทานอาหาร มีการแสดงร่ายรำหลายชุดสะท้อนวิถีชีวิตของคนล้านนา สวยงามมากๆ แขกทุกคนชอบมาก ลุกจากโต๊ะมาถ่ายรูปกัน เราโชคดีมากได้ที่นั่งติดเวทีเลย
ปิดท้ายด้วยข้าวเหนียวมะม่วงและผลไม้รวม ครบคอร์สแล้ว กินกันจนเหนื่อยเลย อิ่มมากจริงๆ
ห้องอาหารอยู่ด้านหน้าของโรงแรม หนึ่งเดินกลับห้องเพราะอยากเดินให้กระเพาะอาหารกับลำไส้ได้ขยับบ้าง เพื่อนในกรุ้ปหลายคนก็เดินกลับกัน ระยะทางเดินได้สบายๆ ก่อนกลับห้องแว้บไปขอยืมหนังที่ล้อบบี้ จริงๆเค้าให้ยืมที่ห้องสมุด แต่ห้องสมุดปิดแล้วเลยยืมจากล้อบบี้แทน จบค่ำคืนนี้ด้วยหนังเรื่อง RED ถามว่าหลับสบายไหม…คำตอบคือ ไม่อยากตื่นเลยค่า แต่เรามีกิจกรรมน่าสนุกรออยู่ macaron work shop รออยู่นั่นเอง
ก่อนจบบล็อกขอปิดท้ายด้วยมื้อเที่ยงสุดอะลังที่เรากินก่อนเดินทางกลับที่โรงแรม ห้องอาหาร Akaligo ซึ่งเป็นห้องอาหารหลักของทางโรงแรม วันที่เราจะกลับเป็นวันอาทิตย์ มี Sunday Brunch พอดี
Sunday Brunch ห้องอาหาร Akaligo
ให้บริการ 12:00-13:00 น
ราคา 1,800 ++ บาท
อาหารที่เสิร์ฟเรียกได้ว่าเป็นอาหารจากทั่วโลกเลยค่ะ ไลน์อาหารเยอะมาก หนึ่งไม่ได้เก็บภาพมานะคะ แต่ที่เด่นๆ คือมีฟัวกราส์ ปูอลาสก้า lamb chop และมีกุ้งมังกรที่พิเศษหน่อยมีเสิร์ฟให้ที่โต๊ะคนละจานด้วยค่ะ หนึ่งกินไม่ครบทุกอย่าง คงคอนเซปต์เดิมคือ กินเท่าที่อยากกินพอแล้ว ^_^
ปิดท้ายด้วยขนมหวานเบาๆ เสียดายมีขนมไทยน้อยไปหน่อย มีแค่ข้าวเหนียวมะม่วง
เป็นประสบการณ์สั้นๆ ที่ดาราเทวี แต่ประทับใจมากค่ะ เพราะนอกจากจะได้รับบริการแบบดีเลิศ ทำให้เข้าใจคำว่าบริการระดับ 6 ดาวและระดับโลกแล้วยังตื่นตะลึงไปกับรายละเอียดของโรงแรมที่ไม่เคยเห็นที่ไหนจริงๆ หนึ่งมีความรู้สึกรับรู้ถึงสิ่งที่ผู้ก่อตั้งโรงแรม* ตั้งใจจะส่งต่อและมอบให้แขกที่มาพัก ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามของตึก รายละเอียดในของตกแต่งต่างๆ บรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ที่สุด หนึ่งไม่แปลกใจเลยที่โรงแรมจะได้รับรางวัลมากมายทั้งระดับท้องถิ่นและระดับโลก
จบประสบการณ์สั้นๆ ที่ดาราเทวี ขอบคุณผู้สนับสนุนใจดี เบทาโกร ^_^
น่ารู้เกี่ยวกับดาราเทวี
– ผู้ก่อตั้งคือคุณ สุเชฏฐ์ สุวรรณมงคล เป็นนักธุรกิจจากภาคใต้ที่หลงไหลศิลปะล้านนาและหลงรักเชียงใหม่ จนเป็นแรงบันดาลใจให้สร้างโรงแรมแห่งนี้ ปัจจุบันตระกูล สุวรรณมงคล ยังเป็นหุ้นส่วนใหญ่ – โรงแรมมีพื้นที่กว่า 150 ไร่ ผู้ก่อตั้งตั้งใจให้เป็นโรงแรมที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ไหนในโลก โดยเนรมิตรให้เป็นเหมือนเมืองโบราณของล้านนาที่มีทั้งวัง วัด บ้านคหบดี บ้านชาวนา ทุ่งนา ต้นไม้ใหญ่หลายพันธุ์ ใช้เวลากว่า 6 ปีในการสร้างใช้ทีมงานกว่า 1,000 คน ลงทุนไปกว่า 3,000 ล้านบาท – โรงแรมเริ่มก่อตั้งปี พศ 2544 ใช้เวลากว่า 6 ปีในการก่อสร้าง – ช่วง 8 ปีแรกที่เปิดให้บริการ บริหารโดย Oriental Mandarin Hotel Group บริหาร ก่อนจะมาบริหารเอง – ช่วงแรกๆ โรงแรมถูกวิจารณ์หนักเรื่องการนำของโบราณบางอย่างมาตกแต่งโรงแรม ที่อาจไม่เหมาะสม และทางโรงแรมได้จัดเก็บและปรับปรุงตามข้อติติง – ปัจจุบันลูกค้าหลักของโรงแรมคือ คนจีน ยุโรป และไทย |
***สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้นำรูปภาพหรือข้อความใดๆไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต หากคุณคิดว่าเนื้อหามีประโยชน์กรุณากดปุ่ม ” share” ท้ายบล็อกหรือ redirect link มาที่เพจนี้***
FUFY
June 14, 2016เริดมาก ชอบบบ