อาหารไทยแบบโมเดิร์น@Osha Bangkok
“Molecular Gastronomy”เป็นการนำวิทยาศาสตร์มาแปลงโฉมอาหารแล้วนำเสนอในรูปแบบที่ต่างไป(จากที่เราคุ้นเคย) จริงๆแล้วการทำอาหารมีทั้งวิทยศาสตร์และศิลปะ แต่เราอาจจะคุ้นเคย คุ้นตา กับอาหารในรูปแบบเดิมๆ แต่ “Molecular Gastronomy” เชฟจะใช่เทคนิคในการทำอาหารและนำเสนออาหารในรูปแบบใหม่เช่น คาเวียร์ทำจากมะพร้าว การใช้ควันและกลิ่นในการนำเสนออาหาร เป็นต้น เชฟที่ทำอาหารแนวนี้นอกจากจะรักการทำอาหารแล้วยังต้องมีความคิดสร้างสรรค์ และรักการทดลองด้วยเพราะนอกจากจะแปลงโฉมอาหารให้ดูดีแล้วรสชาติต้องอร่อยด้วย
สำหรับร้าน “OSHA” หนึ่งเห็นชื่อร้านครั้งแรกจากที่มีเพื่อนในแกงค์ไปทานมา เห็นรูปอาหารแล้ว เฮ่ย น่าสนใจมากเลยลองหาข้อมูลดู “OSHA Thai restaurant” เป็นร้านอาหารไทยที่ถือกำเนิดที่เมืองซานฟาราซิสโกโดยคนไทยสองพี่น้องคือ คุณลลิตา สุขสำราญ และคุณ ชาลิดา โอฬารรัฒน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากจนเปิด 9 สาขาในอเมริกา สำหรับ “OSHA” สาขากรุงเทพเปิดตัวไปปี 2014 โดยหุ้นส่วนใหญ่คือ “คุณหมอวุฒิศักดิ์ ลิ่มพานิช” 1 ใน 3 ผู้ก่อตั้งวุฒิ-ศักดิ์ คลินิกที่เราคุ้นหูกันดีนั่นเอง
Executive Chef ประจำร้านอาหารตอนนี้คือ เชฟปูริดา ธีระพงษ์ เชฟกระทะเหล็กหญิงคนแรกของประเทศไทย แบคกราวน์ร้านไม่ธรรมดาเลยนะคะ มาชมและชิมอาหารกันเลยดีกว่า
ร้านถนนวิทยุตรงปากซอยร่วมฤดี จอดรถอาคารด้านหลัง แนะนำให้โทรจองโต๊ะล่วงหน้าก่อนนะคะ และเนื่องจากเป็นร้านอาหารแบบ fine dining ควรแต่งตัวสุภาพ (งดรองเท้าแตะ ผู้ชายงดใส่ขาสั้น)
ร้านอาหารมี 2 ชั้น ตกแต่งแบบไทยผสมผสาน แบ่งพื้นที่เป็น 2 ชั้น มีส่วนที่เป็นเอาท์ดอร์รับลมเย็นๆ และชั้นสองมีมีห้องส่วนตัว ถ้ามาช่วงอาหารค่ำจะมีการฉายโปรเจคเตอร์ยิงไปที่เพดานเรื่องรามเกียรติ์ด้วย ตื่นตาตื่นใจมากค่ะ ชอบๆ
หนึ่งมาทานร้านนี้ 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นมื้อเย็น ครั้งที่สองเป็นมื้อเที่ยง มาดูมื้อเที่ยงกันก่อนนะคะ
บรรยากาศร้านอาหารชั้นแรก
ด้านในสีทองคือบาร์เครื่องดื่มเค้าค่ะ ด้านบนเป็นชฎาขนาดใหญ่ อะลังมาก
มุมเครื่องดื่มเค้า มีแม่โขงขวดเบ้ง และชฎาเล็กๆที่นำไปใช้ตกแต่งเครื่องดื่ม
มาสำรวจชั้นสองกันค่ะ เดินขึ้นมาต้องเจอ “ชฎา” สีดองโดดเด่น
เราทำตัวเหมือนนักท่องเที่ยว ถ่ายรูปกันนิดนึง ^_^
โซนชั้นสอง ด้านในสุดเป็นห้องส่วนตัว
Wine Cellar และรางวัลมากมายของทางร้าน
มาสั่งอาหารกันค่ะ อาหารมีทั้งแบบเมนูเซ็ท และ a la carte แม้จะเป็นอาหารไทยแต่เค้าเสิร์ฟแบบตะวันตกคือ starter, main course และ dessert รายละเอียดเมนู คลิกดูที่นี่
สำหรับเมนูมีทั้งแบบเมนูปกติแบบนี้
เมนูทันสมัยดูจาก tablet แบบนี้
เริ่มที่เครื่องดื่มก่อนนะคะ เครื่องดื่มเค้ามีให้เลือกหลากหลายมาก มีทั้ง ค็อกเทล(แอลกอฮอล์) ม็อกเทล(ไม่มีแอลกอฮอล์)
โซดา น้ำแร่ (น้ำเปล่าของทางร้านเป็นน้ำแร่ Acqua Panna น้ำแร่จากอิตาลี) ไวน์ กาแฟ และชา เราไปกันมื้อเที่ยงเลยดื่มกันเบาๆ
“หนุมาน”หรือ ” Hanuman Gin Fizz ” 355 บาท
เครื่องดื่มค็อกเทลที่ใช้จินผสมโซดาและมีรสเปรี้ยวของผลไม้นิดๆ เสิร์ฟมาแบบหวือหวามากเพราะมีควัน(จากแก้วข้างๆที่กินไม่ได้) พวยพุ่งเลย
รูปถ่ายตอนควันหมดแล้ว 😉 แก้วนี้หนึ่งชิมไปนิดหน่อย เจ้าของแก้วบอกจิบๆไปจนหมดมีอาการมึนเหมือนกัน
series เครื่องดื่มอื่นๆ
เรียงจากซ้ายไปขวาเลยค่ะ
“พระราม” หรือ “Phraram” 355 บาท
หนึ่งสั่งเองเพราะเห็นรูปแล้วอย่างสั่ง เป็นค็อกเทลที่ผสมน้ำมะกรูดและนำเสนอในขันเงิน คือมันดีมาก
อากาศกำลังร้อนๆ อยากหยิบขันซดเลย รสชาติดี สดชื่น ดื่มเพลินมีรสแอลกอฮอล์น้อยมาก
Troppicana 165 บาท เครื่องดื่มของเพื่อนสั่งมาเหมือนกัน หนึ่งไม่ได้ชิม เป็นเครื่องดื่มผลไม้มีเสาวรสด้วย เพื่อนบอกรสเปรี้ยวชื่นใจ
Lychee Misty 165 บาท ของเพื่อนสั่ง หนึ่งไม่ได้ชิม แต่เพื่อนบอกว่ารสชาติดี สดชื่น
มาดูอาหารกันบ้าง เริ่มที่ starter
“Garden Talk Crispy & Berry Sauce” 250 บาท
ข้าวตังดอกไม้ เป็นข้าวตังแบบโมเดิร์น แป้งบางมาก กรอบมาก หน้าเป็นดอกไม้กินได้นานา เรียกว่ายกมาทั้งสวนเลย
ซ้อสทำจากลูกม่อนมีให้เลือก 2 แบบ แบบแรกเสิร์ฟพร้อมคาเวียร์มะพร้าวลูกเล็กๆ รสชาตินัวๆ ไม่เปรี้ยวจัด
อีกแบบเป็นแบบเย็นคือซอเบท์ กินแล้วเย็นๆสดชื่นดีค่ะ รสชาติรวมๆผู้ดีมาก กินได้เพลินๆ หนึ่งชอบตรงใบบัวยักษ์ที่รองมาด้วย ^_^
“Squids and Salted Egg” 220 บาท
ปลาหมึกสด ไม่เหนียวชุบแป้งทอดกรอบๆก่อนจะมาคลุกกับไข่เค็มไชยาที่เค็มกำลังดี เสิร์ฟในถ้วยกะลามะพร้าวขึงฟิล์มและมีควันหอมๆออกมา
พนักงานจะบีบมะนาวให้ เป็นเมนูที่อร่อยมากแนะนำเลยค่ะ รสชาติเข้มข้นจนอยากเรียกข้าวสวยมาคลุก
มาดูเมนูสลัดกันบ้าง สั่งมา 2 เมนู
“Crab duo” 550 บาท
มีปู 2 ชนิดตามชื่อเค้าเลยค่ะ ปูนิ่มทอดกรอบวางบนซ้อสอโวคาโด ทานกับสลัดเนื้อปูม้าที่รสชาติคล้ายๆพล่าแต่รสอ่อนมากๆ
เป็นรสชาติเบาๆ ทานได้เรื่อยๆ ออกแนวไทยประยุกต์มากกว่ารสไทยแท้ๆ แต่เป็นรสที่ต่างชาติน่าจะชอบเพราะไม่จัดมาก
“น้ำพริกกุ้งสะเออะ” 350 บาท
มาสองรอบ กินทั้งสองรอบ เป็นเมนูเจริญอาหาร
น้ำพริกสีเหลืองไม่แน่ใจว่าทำจากไข่แดงหรือเปล่า มีเนื้อกุ้งสดผสม ไม่เผ็ดมากแต่อร่อยเสิร์ฟพร้อมผักสด
มาดูเมนูซุปบ้าง ตำยำกุ้ง 400 บาท
เป็นเมนูขึ้นชื่อของทางร้านและการนำเสนอเค้าน่าตื่นเต้นจริงๆ
เค้าใช้เครื่องทำกาแฟแบบ Siphon ซึ่งทำงานด้วยระบบสูญญากาศ
พนักงานจะนำมาตั้งข้างโต๊ะแบบนี้เลยค่ะ
ตัวทรงกระบอกด้านบจะมีเครื่องต้มยำอยู่ ส่วนทรงกลมด้านล่างมีน้ำต้มยำ
พนักงานจะใช้ทอร์ชเผาตัวกลมด้านล่างไปเรื่อยๆ เมื่อน้ำซุปเดือดแรงดันจะเพิ่มขึ้นและจะถูกดูดผ่านท่อขึ้นไปด้านบน
พนักงานจะเผาต่อซักพัก ความร้อน + ความดันทำให้กลิ่นเครื่องเทศต้มยำชัดเจนขึ้น
พอปิดทอร์ช ความร้อนลดลง น้ำซุปจะไหลลงมาอยู่ในส่วนทรงกลมเหมือนเดิม พนักงานก็จะนำน้ำซุปมาราดบนตัวกุ้ง
กุ้งเป็นกุ้งแม่น้ำตัวเขื่อง เผามาจนสุกแล้ว การแยกเอาแค่น้ำซุปมาราดบนตัวกุ้งทำให้เราไม่ต้องวุ่นวายเขี่ยเครื่องเทศที่เราไม่กินออก
เป็นต้มยำที่รสชาติดีเลยค่ะ ซดคล่อง กุ้งเนื้อหวาน สด หอมด้วยเพราะเผามาแล้ว มีพริก มะนาวเพิ่มสำหรับใครที่อยากแซ่บกว่านี้ด้วย
main dish สั่งมา 3 อย่าง
“Hungarian Goose Curry ” แกงเผ็ดห่านย่าง 790 บาท
แกงเผ็ดห่านย่าง รสชาติไทยมากๆ เข้มข้น หอมอร่อยมาก เนื้อห่านนุ่มๆ กินกับแป้งฟัพที่อบมาอย่างฟูฟ่องที่พนักงานจะหั่นให้ที่โต๊ะ
“Lemongrass Chilean Seabass” ปลาหิมะนึ่งซีอิ๋ว 750 บาท
ปลาหิมะสดมาก เนื้อหวาน เป็นปลาหิมะนึ่งซีอิ๋วที่รสชาติผู้ดี คนละรสกับปลานึ่งซีอิ๋วที่เราคุ้นเคยนะคะ อร่อยคนละแบบ
ช้าวอบเผือก 120 บาท
ไม่มีอะไรหวือหวา
อิ่มคาวแล้วมาต่อขนมหวาน
ข้าวเหนียวมะม่วง 280 บาท
จัดจานมาได้สวยงาม แต่รสชาติกลางๆ ไม่ได้น่าประทับใจมาก
Banana Flitter เสิร์ฟพร้อมไอศครีสรสกล้วย 280 บาท
กล้วยทอดมีสอดไส้ด้วย อารมณ์ตอนกินเหมือนกินข้าวเม่าทอด อร่อยมาก ไอศครีมรสกล้วยเค้าหอมกล้วย อร่อย
“โอเลี้ยงบานอฟฟี” จำราคาไม่ได้ น่าจะเท่าๆกันคือ 280 บาท
บานอฟฟีรสกาแฟใช้กล้วยเชื่อมแบบไทยโรยหน้าด้วยทองม้วนกรอบ กินกับแป้งกรอบที่ทำเลียนแบบปาท่องโก๋ อร่อยมากค่ะ
เมนูนี้หนึ่งถึงกับเอากลับมาทำกินเองที่บ้าน ดูเวอร์ชันที่หนึ่งทำ ที่นี่
Homemade Sorbet 280 บาท
ลือกมา 3 รสคือกล้วย แอปเปิ้ล กะทิ อร่อยทุกรสค่ะ
**************************************************************************************
มาดูมื้อเย็นกันบ้างนะคะ ลงเฉพาะเมนูที่ไม่ซ้ำนะคะ
ชฎา ยามค่ำคืนดูขลังจริงๆนะ ^_^
Welcome drink เป็นน้ำผลไม้ซ่า มีไข่มุกเล็กๆ 2 รสคือ สตรอเบอร์รีและเสาวรส เวลาเคี้ยวจะแตกออก
ดื่มแล้วสนุกดีค่ะ สดชื่นด้วย
Amuse Bouche ที่ทางร้าานจัดให้ เป็นสาคูไส้หมู แต่แป้งสาคูหนาไปหน่อย
“Dancing King Prawns” หรือ กุ้งเต้น 380 บาท
กุ้งลายเสือสดๆ วางบนแตงกวาและเรดดิชฝานบางๆ น้ำยำมาในรูปแบบกรานิต้า! อเมซิ่งมากค่ะ
น้ำยำเค้าใช้พริกกับผักชีทำมาในรูปกรานิต้า รสชาติเผ็ดแซบจริงแต่เย็น แปลกดีค่ะ เพราะปกติพริกบ้านเราจะเผ็ดร้อน รู้สึกเหมือนกินวาซาบิที่เผ็ดว้าบเดียวแล้วไป
เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ดีนะคะ แนะนำให้ลองเอง แต่หนึ่งชอบ อยากปรบมือให้เชฟ สร้างสรรค์มากๆ
“Aromatic Duck Spring Rolls” ปอเปี๊ยะเป็ดทอด 450 บาท
ตอนยกมาเสิร์ฟมีฝาครอบมา พอยกฝาออกควันหอมพวยพุ่งเลยค่ะ
รสชาติกลางๆ ทานได้เรื่อยๆค่ะ ไม่โดดเด่นสำหรับหนึ่ง
“Bangkok Roti” หรือ “แกงเขียวหวานเนื้อวากิว” 850 บาท
แกงเขียวหวานน้ำเข้มข้น โปรยคาเวียร์มะพร้าวมาสวยๆ รสแกงอร่อยเลยค่ะ เนื้อวากิวไม่ต้องพูดถึง นุ่ม อร่อย
ทานกับโรตี เข้ากั๊น เข้ากัน
“Grilled Chilean seabass” ปลาหิมะย่าง ซ้อสถั่วเหลือง 650 บาท
ปลาหิมะสดมาก เนื้อปลาหวานอยู่แล้ว ตัวซ้อสสีแดงทำจากถั่วเหลืองรสหวาน มีบอคฉ่อยรองด้านล่าง
อร่อยค่ะจานนี้ แม้จะหวานไปนิด แต่ปลาสดมากจริงๆ
ข้าวอัญชัน & ข้าวกล้อง อย่างละ 120 บาท
ข้าวอัญชันเสิร์ฟในหม้อดินเผาจิ๋ว มีโป๊ยกั๊กอยู่ด้านในเพิ่มความหอมเบา
หนึ่งชอบข้าวกล้อง เสิร์ฟมาในมะพร้าวเผา ทานข้าวไปหอมกลิ่นมะพร้าวเผาไป เพิ่มอรรถรสในการกินจริงๆ
สั่งตำยำกุ้งและน้ำพริกกุ้งสะเออะซึ่งลงรูปไปแล้ว
รอบนี้สั่ง “ผลไม้รวม” ตอนแรกไม่ค่อยอยากสั่ง เพราะผลไม้กินที่บ้านก็ได้ไหม?
แต่เชฟก็มีวิธีทำเสนอให้เราตื่นเต้นจนได้ โดยนำแท่นหินที่ควันพวยพุ่งหนักมากแบบในรูปมาตั้ง ควันกระจายเต็มโต๊ะเลย
หลังจากนั้นพนักงานนำผลไม้มาวาง มีไอศครีมมาให้ด้วย 3 สคูป เป็นการกินผลไม้รวมที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
ความเห็นส่วนตัว เป็นอีกร้านอาหารที่หนึ่งชอบ บรรยากาศดี พนักงานบริการเป็นเลิศ มีความรู้เรื่องอาหารและคอยดูแลอย่างดี การนำเสนออาหารสร้างสรรค์มาก การนำเมนูไทยๆที่เราคุ้ยเคยมาคิดใหม่ ทำใหม่โดยที่ยังให้รสชาติที่เราคนไทยยังคุ้นเป็นอะไรที่หนึ่งทึ่งมาก ปรบมือให้เชฟ แต่เรื่องของรสชาติแล้วแต่คนชอบนะคะ ถ้าอยากทานอาหารในรูปแบบที่แปลกใหม่ รสชาติอาหารดี บรรยากาศดีอารมณ์ fine dining ลองไปร้านนี้ ^_^
About Osha Bangkok
อาหาร: ไทย, fusion เวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน 11:00-14:30 และ 18:00-23:00 ราคา: ถ้าทานครบคอร์สทั้ง คาว หวานและเครื่องดื่ม เฉลี่ย 1,200 บาทต่อหัวขึ้นไป ที่อยู่ : 99 Witthayu Rd, Lumpini, Khet Pathum Wan, Krung Thep Maha Nakhon 10330 Tel: 02 256 6555 (ควรโทรจองโต๊ะก่อน) การเดินทางและที่จอดรถ: มีที่จอดรถด้านหลังร้าน เป็นอาคาร facebook: https://www.facebook.com/meatbar31/ |
***สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้นำรูปภาพหรือข้อความใดๆไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต หากคุณคิดว่าเนื้อหามีประโยชน์กรุณากดปุ่ม ” share” ท้ายบล็อกหรือ redirect link มาที่เพจนี้***
FUFY
July 30, 2017One of my favorite!